
แต่พี่สาวผมคงเข้าใจ เห็นดังนั้น จึงรีบดึงน้องชายออกมาเพราะกลัวพ่อจะรำคาญ แต่..คิดเหรอครับว่าผมจะยอมง่าย ๆ เพราะความสงสัยกับความอยากรู้มันยังไม่หมดไปจากตัวผม ผมก็ยังดื้อไม่ยอม..แต่..ด้วยความปราดเปรื่องของพี่สาวผม เธอจับจุดอ่อนของผมได้ เลยรู้ว่าต้องทำอย่างไรผมถึงจะออกมาจากตรงนั้น...เธอจึงสร้างประโยคขึ้นมาที่ทำให้รู้สึกน่าสนใจกว่าที่ผมจะอยู่ตรงนั้น..มันก็คือเรื่องประเภทเดียวกันที่พวกผู้ใหญ่ชอบใช้ "เรื่องหลอกเด็ก" นั่นแหละครับ ประโยคนั้นก็คือ " รู้มั๊ยว่า อันนี่น่ะ (มือชี้ไปที่ตะกรุดอันนั้น) เค้าเรียกว่าอะไร แล้วอยากรู้มั๊ยล่ะว่าใส่แล้วจะมีพลังวิเศษยังไง อยากรู้ก็ตามมา" แล้วพี่สาวผมก็เดินออกมาจากตรงนั้น..โอ้โห..ไงล่ะครับ เจอประโยคนี้เข้าไป เล่นผมซะอยู่หมัด เหมือนโดนน๊อคคาเวที เดินตามออกมาแทบไม่ทัน ลืมเรื่องสนใจของจริงที่อยู่ตรงหน้าในทันที....เพราะไอ้เรื่องจะมีอิทธิฤทธิ์ มีอภินิหาร นี่แหละครับ แหม...ก็อย่างว่าแหละครับ ตอนเด็ก มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นยอดมนุษย์ ผมเลยต้องตกเป็นเหยื่อของพี่สาวตัวเอง ด้วย เรื่องหลอกเด็ก ...คิดแล้วแค้น...^___^..
ผมรีบตามไปถามพี่สาว ทันที.."บอกหน่อยดิ ว่าถ้าใส่ไอ้นั้นและจะมีพลังวิเศษยังไง บอกหน่อยนะ" .... พี่สาว ผมคงไม่รู้จะโกหกยังไงต่อเลย นิ่งเงียบ ไม่ตอบ อยู่สักพักแต่เธอคงเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างในตัวผม ว่าถ้าไม่รีบตอบ มันต้องกลับไปที่เดิมตรงพ่ออยู่แน่ จึงตัดใจรีบตอบก่อนที่ผมเบนความสนใจ..."ใส่แล้วว่ายน้ำเป็น" มันเป็นคำตอบที่สิ้นคิดของผู้หญิงคนนึง แต่ มันกลับสร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับเด็กน้อยคนนึงอย่างมากมายมหาศาล เพราะการว่ายน้ำไม่เป็นของเด็กริมคลองในช่วงเวลานั้นของผม...มันคือรอยด่างในชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ..เพราะเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันแถวนั้นเค้าว่าน้ำเป็นกันทุกคน...มันเป็นปมด้วยมากๆ ครับ เวลาเพื่อน ๆ ว่ายน้ำเล่นข้ามคลองกันอย่างสนุกสนาน แต่ เราต้องนั่งอยู่ในน้ำเป็นพนักงานเฝ้าบันไดท่าน้ำ...มันเศร้าจริงๆ นะครับ แต่จากวันนี้ไป ความหวัง ที่จะได้ว่ายน้ำเป็นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ได้เปล่งประกายความสดใสในจินตนาการ ภาพการว่ายน้ำเล่นอย่าสนุกสนานร่วมกับเพื่อน มันว่ายเวียนอยู่ในความคิดผมอย่างมีความสุข ณ เวลานั้น
จากกวันนั้น...ความมุ่งมั่นของเด็กน้อยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น..สิ่งนั้นก็คือ การออกตามหาตะกรุด อันนั้นให้เจอให้ได้ ว่าพ่อเก็บเอาไว้ที่ไหน ... แต่ตามหาอยู่หลายวันครับ ก็ยังไม่เจอซักที ไม่รู้ว่าพ่อเอาไปเก็บหรือซ่อนเอาไว้ที่ไหน แต่ก็ไม่เคยละความพยายามครับ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอให้ได้ เพื่อจะได้เอามาลบรอยต่างในชีวิตตัวเองให้ได้...แล้ววันนึงก็เหมือนโชคจะเข้าข้าง ฟ้าเป็นใจ พ่อผม..หยิบตะกรุดอันนี้ออกมาเพื่อให้เพื่อนๆ พ่อดู....ผมเห็นอย่างนั้น ก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ "ฮ่าๆๆๆ วันนี้แหละ จะเป็นวันที่จะได้รู้สักที ว่าพ่อเอาของวิเศษสิ่งนี้ ไปซ่อนไว้ที่ไหน กันแน" จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องตามติดแบบไม่กระพริบตา ผมนั่งรอทำทีเป็นไม่สนใจรอจนกว่าพ่อจะเอาของวิเศษสิ่งนี้ไปเก็บ...(ผมว่าตอนนั้นพอ่ผมคงรู้สึกแปลกใจนิดๆ แหละครับว่า เออวันนี้ลูกชายเราเป็นเด็กดีไม่ออกไปเล่นซนที่ไหนอยู่ติดบ้านได้ ฮ่าๆๆๆ) แล้วในที่สุด เวลาที่เฝ้ารอคอยมาตลอดก็มาถึง พ่อผมเดินเตะกรุดอันนั้นไปเก็บ ผมก็แสร้งทำเป็นเดินตามไปแบบเนียนๆ ไม่ให้พ่อเอะใจ ... แล้วผมก็ต้องแปลกใจ อึ้งกิมกี่สุดชีวิต พระเจ้าช่วย ไม่น่าเชื่อ พ่อผมนี่ช่างล้ำลึกจริงๆ กับการหาที่เก็บของวิเศษสิ่งนี้จริงๆ นี่มั๊งที่เค้าบอกๆ กันว่า ที่ๆ อันตรายที่สุด คือที่ ๆ ปลอดภัยที่สุด...รู้มั๊ยครับว่าพ่อผมเก็บตะกรุดอันนี้ไว้ที่ไหน? พ่อแขวนมันไว้ที่หน้าห้องตรงหัวตะปูข้างๆ ปฏิทิน..ซึ่งผมก็ผ่านทุกวันแต่ไม่เคยสังเกตุเลย ว่ามันอยู่ตรงนั้นมาตลอด เอาแต่ไปหาอยู่แต่ในห้องของพ่อ คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจตัวเองว่าทำไมเราถึงโง่และเซ่อขนาดนี้...แต่สุดท้ายมันก็ย้อนกลับไปเป็นความชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของพ่อตัวเองที่สามารถหลอกลูกชายตัวเองได้สนิทใจ(มาคิดในใจตอนนี้..อย่างว่าแหละครับหลอกคนใกล้ตัวมันง่ายกว่าหลอกคนอื่นอยู่แล้ว พ่อหลอกเรื่องที่ซ่อนตะกรุดผมได้ แต่พ่อกลับหลอกโจรที่มาขโมยจักรยานของผมไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าพ่อผมมือตก เนื่องจากเวลามันก็ห่างกันตั้ง สิบกว่าปี ก็น่าคิดและมีโอกาสเป็นไปได้ คริคริ)
และแล้วช่วงเวลาที่จะสร้างเรื่องประทับใจ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเด็กคนนึงก็เกิดขึ้น....ผมหาโอกาสและจังหวะที่ทุกคนไม่ได้หน้าบ้านตรงริมน้ำ..แล้วตั้งใจว่า จะปีนไปเอาตะกรุดวิเศษอันนั้นลงมา ผูกเอวตัวเองซะ แล้วจะกระโดดน้ำให้เสียง ดัง ๆ จากนั้นก็ว่ายออกไปกลางคลองเพื่อตะโกนให้ทุกคนได้ยินว่า "ดูนี่..ผมว่ายน้ำเป็นแล้ว" ..นี่แค่คิดนะครับ ก็มีความสุขซะเหลือเกิน...แล้วเวลานั้นก็มาถึง ผมรีบทำตามขั้นตอนที่กล่าวทั้งหมด แต่....ขั้นตอนที่ทำได้ มันมาสะดุดและหยุดตรงที่ กระโดดน้ำเสียงดัง แค่นั้นเอง...จากนั้นคงเดาต่อไม่ยากไม่ใช่มั๊ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น...ใช่ครับ "ผมจมน้ำ" เวลานั้นรู้สึกอย่างเดียวคือพยายามตะเกียกตะกาย ร้องตะโกนจนกินน้ำเข้าไปหลายอึก ทั้งเข้าจมูกออกปาก จากนั้น ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนแว่วๆ มาให้ได้ยินจากบ้านฝั่งตรงข้าม.."เร็ว ๆ โว๊ย มีคนตกน้ำ อ้าว ไอ้ต๋า นั่น ไอ้ต๋านี่ เร็ว ๆ เข้ามันจะจมแล้ว" แล้วก็มารู้สึกอีกที่ว่ามีมือใครสักคนอาโอบที่ตัวเราเอาไว้แล้วก็พาเราว่ายเข้าฝั่ง.....พอถึงฝั่งตรงบันได เท่านั้นแหละครับ ผมแผดเสียง แหกปากร้องลั่น ร้องไห้แบบไม่คิดอะไรอีกแล้ว...ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งสำลักน้ำ ทั้งทรมานน้ำเข้าจนแสบจมูกไปหมด สารพัดความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา..แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุด ก็คือ เจ็บใจที่โดน พี่สาวตัวเองหลอกซะยับเยิน..ความฝัน สลายไปในพริบตา ... แต่รู้มั๊ยครับ คนที่กระโดดไปช่วยผมคนแรกคือใคร...พี่สาวผมเอง..พอตั้งสติได้ แล้วเห็นว่าใครอยู่กับเราในน้ำ เรื่องที่คิดจะโกรธ มันหายไปหมดเลยครับ ก็ได้แต่โผเข้ากอดแล้วก็ร้องไห้อย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากวันนั้นผมมารู้ทีหลังว่า พี่สาวผมคือคนที่อยู่ไกลที่สุดจากจุดที่ผมตกน้ำแต่กลับไปถึงตรงนั้นเป็นคนแรก แม่ผมยังแซวเลยครับว่าพี่ผมเค้าหายตัวได้ ไวเป็นลิงลม ถึงจะเจ็บใจที่โดนพี่สาวตัวเองหลอกแต่ก็รู้สึกดีครับที่พี่สาวผมยังรักและยังคองปกป้องน้องชายคนนี้อยู่....ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็มีอยู่อย่างนึงที่ผมรู้สึกได้แอบสะใจอยู่เล็กๆ คือวันนั้น นาฬากาเรือนโปรดของพี่สาวผม จมน้ำหายใต้คลองแทนผมไปเรียบร้อยครับ....คริคริ ขอคืนหน่อยนะพี่สาวคนแสบ
ก็อยากฝากเอาไว้นะครับ...สำหรับผู้ใหญ่ทั้งหลาย เก็บไว้คิดกันสักนิดครับ..อย่าหาเรื่อง ไปหลอกเด็ก กันให้มากไป มันไม่ดี ระวังจะต้องเสีย ของรักของหวง เพราะว่า เราไปหลอกเด็ก ....กรรมมันตามทัน ได้ในทันทีเหมือนกัน..คริคริ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น