http://www.facebook.com/IamTatta

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ถ้าหนูได้เป็นนายก หนูจะให้ หนุ่มเมืองจันท์ มาเป็นนายกให้หนู

คนอื่นเรียกหนุ่มเมืองจันท์...แต่..ผมเรียกหนุ่มสองแรง
..........ถ้าหนูได้เป็นนายก หนูจะให้ หนุ่มเมืองจันท์ มาเป็นนายกให้หนู.........

                อย่าแปลกใจนะครับ...ทำไมถึงเป็นแบบนั้นแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ  คุณครูชอบถามคำถามนี้กับ เด็ก ๆ อย่างพวกผมอยู่เสมอว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” มันเป็นคำถามที่ตอบไม่ยากเลยครับ....เพราะเด็ก ๆ อย่างพวกผมตอบได้ไม่กี่อย่าง...อาชีพแรกแน่นอนครับ ต้องเอาใจกันไว้ก่อนเอาไว้อ้อนตอนไม่ส่งการบ้าน ...คือ เป็นครู จากนั้นก็เข้า แพทเทิ่น อาชีพตามอยากอยู่ไม่กี่อย่าง...หมอ ตำรวจ ทหาร พยาบาล นักบิน และสุดท้าย เป็นนายกฯ....นี่แหละครับ...ผมเชื่อเหลือเกินว่า เด็ก ๆ เหล่านั้นที่ตอบคำถาม ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าการจะไปเป็นคนอาชีพต่างเหล่านั้นต้องทำอย่างไรบ้างหรือหากคิดก็คิดแค่ โตไวไวแล้วจะได้เป็นกันเอง เพียงเท่านั้นจริง ๆ

                อย่างที่ผมบอกไป หากตอนนี้ผมป็นเด็กคนนั้นผมจะบอกว่า..."หนูอยากเป็นนายก เพราะหนูอยากให้ “หนุ่มเมืองจันท์” เป็นนายกฯ แทนหนู".....เพราะผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า...หนุ่มเมืองจันท์ คนนี้ ต้องเป็นนายกฯ ที่ดีของคนไทยได้อย่างแน่นอนและจะเป็นนายกฯ ที่เก่งมากด้วยครับ น่าจะเป็นความหวังของคนไทยได้ทั้งประเทศ...เพราะอะไรหรือครับ...เพราะ หนุ่มเมืองจันท์..มักจะคิดเรื่องยาก ๆ ให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ๆ ได้เสมอ ... หลาย ๆ ครั้งที่ได้อ่านข้อเขียนหรือบทความที่ หนุ่มเมืองจันท์ เป็นผู้เขียน ผมต้องทึ่งและประทับใจ ทุกครั้งว่า..ทำไมผู้ชายคนนี้คิดอะไรมองอะไรดูเป็นเรื่องเข้าใจง่ายไปซะทั้งหมด ไม่ว่าเรื่อง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ต่างประเทศ ปรัชญา  เป็นผู้ชายประหนึ่งว่า ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยที่เข้ามาในชีวิต...นี่แหละ...ผู้ชายคนนี้ จึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด สำหรับ การเป็นนายกฯ เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ เพราะจะได้เอาวิธีย่อโลกที่เค้าชอบคิด และวิธีคิดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เอามาทำงานเพื่อบ้านเมือง เพราะนักการเมืองสมัยนี้ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก และชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องที่เป็นเรื่อง ซะทุกทีไป อย่างที่เห็นเป็นข่าวกันบ่อย ๆ  และเหตุที่ผมต้องอยากเป็นนายกฯ ก่อน ก็เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมสมัครเข้าพรรคการเมืองไหนหรือยอมลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. อย่างแน่นอนครับ ... “แต่ไม่ต้องห่วงครับ ก่อนที่จะเชิญ หนุ่มเมืองจันท์ ไปเป็นนากยกฯ ผมจะยอมให้คนทั้งประณาม หยามเหยียด ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญเป็นฉบับเฉพาะกาล...ที่ว่าด้วย... การเป็นนายกฯ คนนอกที่ต้องเป็นได้เฉพาะ หนุ่มเมืองจันท์...ผู้เดียวเท่านั้น”  ถ้าหาก...หนุ่มเมืองจันท์ ตีลังกาแบกโลกได้ ผมว่า แค่แบกภาระคนไทยเพียงแค่ 73 ล้านคน คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับผู้ชายคนนี้..และคิดว่าคงไม่กล้าปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เสียสละครับ คงเห็นแก่ประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อคนไทยทุกคนจะได้ อยู่ดี มีสุข ...มองโลกง่าย ๆ สบายดี , แพ้ได้แต่ไม่ยอม ,พลิกมุมคิดชีวิตเปลี่ยน, มองเห็น...ปัญหาคือยาวิเศษ...และมี...ความสุข ณ. จุดที่ยืน...กันทั้งประเทศ...คิดเหมือนผม มั๊ยครับ แล้วพอพวกเราได้ หนุ่มเมืองจันท์ มาเป็นนายกฯ พวกเราก็จะได้มามองอะไรๆ ง่ายๆ อย่างที่ ท่านนายกฯ ของพวกเราทำไว้เป็นแบบอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ สังคมไทย คงน่าอยู่ขึ้นมาอีกเยอะ คนไทยทั้งประเทศ คงจะสะกดคำว่า ปัญหา กันไม่เป็นเลยทีเดียว บางที ประเทศไทย อาจจะ มีการบัญญัติศัพท์ใหม่ ให้กับคำว่า ปัญหา เปลี่ยนเป็นใช้คำว่า...ท้าทาย..แทนกันไป..เพราะ ปัญหาเป็นเรื่องที่ ท้าทาย แล้วมันก็เข้ามาเพื่อทำให้ชีวิตเราตื่นเต้น ให้เราสนุกกับการ แก้ไข ไม่ใช่มาจมอยู่กับมัน เพราะปัญหาไม่ใช่ปลักและเราก็ไม่ใช่สัตว์ประเภทที่ชอบเอาตัวเองไปอยู่ในนั้น..ใช่มั๊ยครับ ท่านนายกฯ
                ผมว่าสังคมไทยทุกวันนี้..เราใช้คำว่า..ความดี..ฟุ่มเฟือยมากเกินไป เราไม่ได้ใส่เรื่อง ที่มา เหตุผลของความดีหรือแม้แต่บอกวิธีการทำ มันจึงเป็นความดี ที่ลอยไปลอยมา เป็นนามธรรมไม่สามารถ ออกมาเป็นรูปธรรมที่เกิดคุณประโยชน์ของความดีนั้นๆ แต่อย่างใด  เหมือนเช่น การตั้งคำถามเด็กๆ ของคุณครู ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร โดยที่เราไม่ได้ปลูกฝังให้เด็ก ๆ เหล่านั้นรู้เลยว่า...การประกอบอาชีพนั้นๆ ให้ได้ดีและมีจริยธรรมที่ดีควรทำอย่างไร ผมว่าเด็ก ๆ ก็ควรรู้เหตุผลประกอบบ้างก็ดีนะครับ ดีกว่าให้พวกเค้าแค่อยากเป็นโดยไม่รู้อะไรเลย และประเด็นนึงเลยนะครับที่ผมไม่ค่อยเข้าใจในความเป็นผู้ใหญ่ มักจะบอกปัดกับเด็ก ๆ ในบางประเด็นที่พวกเค้าอยากรู้...ด้วยประโยคที่ว่า “เป็นเด็ก เป็นเล็ก อย่าเพิ่งรู้เลย เดี๋ยวโตไปก็รู้เอง” ผมว่าเป็นการบอกปัดเพื่อขอไปทีของผู้ใหญ่ แต่มันจะทำให้เด็กนำไปใช้ได้อย่างผิด ๆ เมื่อพวกเค้าเหล้านั้นโตขึ้นมา

                ผมเคยลองคิดเล่น ๆ นะครับ  น่าจะเป็นเรื่องที่ดี หากเรามีคู่มือการทำความดี ในสาขาอาชีพต่าง ๆ มอบให้ไว้สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มจะทำงานในอาชีพนั้น ๆ  ตั้งแต่เริ่มงานใหม่ ๆ และจำเป็นต้องพกคู่มือนี้ติดตัวไปตลอดอายุในการทำงานอาชีพนั้น แล้วทุกคนต้องนำคู่มือการทำดีในอาชีพมาใส่คะแนนประเมินผลกันทุกวันเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง ฮ่าๆๆๆ ... พอถึงตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึง ละครที่วีญี่ปุ่นสมัยเด็ก ๆ แต่ต้องขออภัย..จำชื่อเรื่องไม่ได้จริง ๆ แต่ผมพอจำได้ว่า ใคร ๆ เรียกชื่อละครเรื่องนั้นว่า “เจ้าหุ่น”เป็นเรื่องที่มีตัวเอกเป็นหุ่นยนต์ตัวกลม ๆ เหมือนกระป๋อง เป็นตัวดำเนินเรื่อง ถูกส่งไปอยู่ร่วมกับคนในสังคมเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ พร้อมเพื่อน ๆ หุ่นยนต์ด้วยกัน คอยสร้างความดีให้แก่โลกมนุษย์...ผมจำได้ว่าก่อนจะจบทุก ๆ ตอน หุ่นยนต์ทุกตัวต้องมารวมตัวกัน เพื่อส่งอะไรบางอย่างเป็นเหมือนกระดาษประเมินผลการทำความดี ลงไปในเครื่องแล้วผลคะแนนความดี ของหุ่นแต่ละตัวก็จะออกมา เชื่อมั๊ยครับว่า เจ้าหุ่น ตัวเอกของเรื่อง ได้คะแนน 0 คะแนนเกือบทุกครั้งจากการที่ออกไปช่วยเหลือเด็ก ๆ จะมีนาน ๆ สักครั้ง ที่จะได้คะแนนมากขึ้นมาหน่อย แต่อยากบอกว่า เจ้าหุ่นตัวนี้ เป็นหุ่นยนต์ที่มีจิตใจดีนะครับ ดีมากซะด้วย  แต่ด้วยความตั้งใจจะทำความดีช่วยเหลือคนอื่นของเจ้าหุ่น จะเป็นการกระทำอยู่ผิดที่ ผิดเวลาเสมอ กลายเป็นเรื่องปรารถนาดีแต่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ ซะทุกครั้งไป น่าสงสารจริง ๆ ครับเจ้าหุนตัวนี้ แต่สำหรับผม ความปรารถนาดีที่ปราศจากความต้องการ มันกลายเป็นคนละเรื่องได้เลยนะครับ ฮ่าๆๆ
                ผมเลยกลับมาคิดเล่น ๆ ต่อ....ว่าการทำความดี..มันก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ เหมือนกัน ทุกอย่างต้องประจวบเหมาะ พอดี ถูกที่ ถูกเวลา ในจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนเจ้าหุ่น ตัวนั้นไงครับ...นี่ไงครับด้วยเหตุนี้หรือเปล่าคนเลยไม่ค่อยกล้า..ที่จะทำความดี...เพราะกลัวว่าจะส่งผลร้ายต่อตัวเองหรือแม้แต่กับผู้อื่นหรือไม่ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะเริ่มต้นทำความดีด้วยวิธีอะไร...มันก็มีโอกาสงง ๆ มึน ๆ ได้เหมือนกันนะครับ ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ข้อนึงคือ..”การที่ไม่ประกอบกรรมชั่ว นั่นคือการที่เราได้เริ่มสร้างกรรมดีแล้วเช่นกัน” เหมือนกับว่า...พระพุทธเจ้า..ได้วางกุศโลบาย เรื่องความดีความชั่ว มอบไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน พระองค์ เข้าถึงแก่นแท้ความเป็นมนุษย์จึงแบ่งระดับความรับรู้ความเข้าใจของคนเอาไว้เหมือนกับดอกบัว 4 เหล่า อย่างที่เราทราบกัน...แต่ด้วยความลึกซึ้งขององค์ศาสดา อาจจะทรงเป็นห่วงดอกบัวเหล่าสุดท้ายเกรงว่าจะเข้าใจอะไรยากและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำดีได้อย่างไร เลยเอากลอุบายที่เป็นกุศล....มาดักทางไว้ กันไว้ก่อน รอเวลาเติบโต เรียนรู้ให้เข้าใจมากขึ้น...กุศโลบาย นั้นก็คือ......ศีล 5...นั่นเองครับ...ท่านทรงคิดแนวทางป้องกันเอาไว้ว่า หากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำความดีอย่างไร ก็แค่เอาศีล 5 ข้อนี้ไป แล้วปฏิบัติตามให้ได้ แค่นี้ก็ได้ทำกรรมดี และเป็นคนดีได้แล้ว...ผมคิดว่า พระพุทธเจ้า องค์ศาสดาแห่งศาสนาพุทธของเรา พระองค์ทรงมีอัจฉริยภาพปราดเปรื่องมากในเรื่องของความคิดวางแผนให้คน  คิดดี ทำดี ได้อย่างยอดเยี่ยม
                แต่พอย้อนกลับมามองที่ตัวเองและทำความเข้าใจเรื่องการทำความดี สำหรับผมคงเอา ศีล 5 มาเป็นเกณฑ์วัดเรื่องความดีไม่ได้แน่ ถ้าวัดจริงคงเหลือไม่กี่ข้อหรืออาจจะไม่มีเหลือ แต่อย่าเพิ่งมองว่าผมจะป็นคนเลวหรืออย่างไร เพียงแต่ผมเข้าใจแล้วว่า ตัวเองน่าจะหลุดพ้นการเป็นบัวเหล่าสุดท้ายขึ้นมาอีกระดับนึง ถึงไม่มากมายแต่อยู่สูงกว่าอย่างแน่นอน  อันอุบายที่เป็นกุศลนี้ผมคงไม่ต้องนำมาใช้ เพราะผมพอจะเข้าใจเรื่องการทำความดีในรูปแบบอื่นๆ อยู่บ้างและผมได้ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า “ผมจะทำดีให้ท่านนายกฯ ดูและผมจะหมั่นทำความดีเพื่อท่านนายกฯ เพราะผมชื่นชม นายกฯ ท่านนี้”  นี่คือ...จุดเริ่มต้นการทำความดีของผมครับ ... อยากบอกว่านายกฯ ท่านนี้ “เป็นคนคิดดีและมักจะมีของดีมาบอกต่อให้คิด ถ้าเราคิดได้ก็ดีและหากคิดให้ดีเราก็จะได้..คิดตามท่านไม่เสียตังส์ แต่...จะเสียตังส์ก็ต่อเมื่อ คิดติดตามผลงานของท่านนายกฯ..นี่แหละครับ” อย่าคิดมากครับเรื่องแบบนี้ มีเสียมาก ก็ต้อง มีเสียน้อย เป็นของคู่กันเพราะเสียทั้งคู่ เป็น เป็นสัจธรรมของ หนุ่มเมืองจันท์ ขนานแท้ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น