http://www.facebook.com/IamTatta

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หลากคำคม กับ สุขนิยม อารมณ์ เฉพาะกิจ

๐๐๐๐---- หลากคำคม กับ สุขนิยม อารมณ์ เฉพาะกิจ ----๐๐๐๐
..........ขำขัน วันอาทิตย์ แด่ มหามิตร แฟนเพจ คำคมฯ............
๐๐๐..ตอน..๐๐๐ "ชีวิตมีกรรม ของมนุษย์ลูกจ้างสายพันธ์ลูกน้อง ที่ต้องถูกจองจำในทัณฑสถานหัวใจ(เมีย)"
.....................
๐๐-- ขี้เกียจเป็นสันดาน...ไม่อยากทำงานเป็นนิสัย..แต่เป็นเพราะมีคำว่า.."เดตไลน์"
..ปุ่มขยันในร่างกายจำต้องเปิดสวิทต์ในทันที --๐๐
...นี่แล้ว...อารมณ์ขยัน(มันหายไปไหน) มันยังเหลือไว้ให้ใช้ บ้างมั๊ยเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ
.....................
๐๐๐-- ความผิด ของคนอื่นเรามองเห็นใหญ่เท่า ภูเขา แต่กับ ความผิด ของเรากลับมองเห็นเล็กแค่ เส้นผม --๐๐๐
(แปลกแต่จริงทั้งๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน...มิน่าล่ะ..."เส้นผมถึงไปบังภูเขาได้" เพราะมันใหญ่เท่ากัน) ...ฮ่าๆๆๆๆๆ สุขนิยม อารมณ์ เสียดสี
.....................
๐๐๐-- รู้ทุกอย่าง ยกเว้นงานในหน้าที่ ไปได้ทุกที่ยกเว้นที่ทำงาน --๐๐๐
...(แล้วมันไปไหนของมัน)
.....................
๐๐๐-- ทำได้หมดยกเว้นที่นายสั่ง..แต่..ทำได้ทุกครั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง --๐๐๐
(เออมันเก่งดี น่ามอบโล่ห์ ไปโขกหัวสักที)
.....................
๐๐๐-- อาจทำได้ไม่หมดทุกอย่างที่นายสั่ง แต่ ต้องทำทุกครั้งที่แม่(เมีย)สั่งมา --๐๐๐ (กลัวเมียนี่หว่า)
.....................
๐๐๐-- ไม่ได้เป็นคนกลัวเมีย แต่ ให้เกียรติในตำแหน่งหน้าที่ เพราะเธอคนนี้ เปรียบเสมือน...ผู้บัญชาการชีวิต --๐๐๐
(อ๋อ รู้แล้ว ว่าไม่กลัว แต่ เมิงไม่กล้าหือนี่เอง)
.....................
๐๐๐-- หากยังอยากมีอิสระในชีวิตบ้างในบางครั้งและบางคืน แบบชายชาตรี ก็ต้องรู้ดีว่า สตรี นางใด ไม่ควรค่าแก่การละเลย จำเป็นที่ต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ --๐๐๐
(นั่นเมีย หรือว่า ผู้คุมนักโทษกันแน่วะ)
.....................
๐๐๐-- เมีย เปรียบได้ดั่ง นางฟ้าอวตาร ที่ลงมาจุติ เราสมควรเคารพและบูชา --๐๐๐
(อ๋อ ได้เมียเป็นนางฟ้า มิน่าล่ะ ถึงได้ เป็นอมตะ แก่ง่าย แต่ ไม่ยอมตายสักที รู้ไปฟมด จับผิดได้ทุกเรื่อง เอาแต่ใจชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด คิดใช้วาจาข่มขู่ด้วยของมีคมผสมกับเสียงเป็ด ก้าบ ๆ ๆ) ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
..................... จบบริบูรณ์ ...................


วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

"โครงการก่อสร้าง สมาคมคนชั้นสูง" Higher Society ของ คนบนคาน

  ก่อนอื่น จะขอพรรณนา...บรรยากาศที่อยู่ของตัวเองให้รับทราบกันไว้ก่อน....ผมอาศัยอยู่บนคานไม้ธรรมดาไม่ได้เลิศหรูอะไร ระดับความสูง ยังไม่ค่อยน่าหวาดเสียว อากาศดี ทิวทัศน์ร่มรื่น อยากได้ความสงบได้ อยากได้อากาศบริสุทธิ์ก็มีตลอดเวลา...แต่ปัญหาใหญ่ของมัน คือ...มันอยู่ได้คนเดียว...  เคยเผลอลืมตัว ให้คนมาอาศัยร่วม คานถล่มทันที...ก็รู้อยู่ ว่าตกจากที่สูงมันเจ็บ แต่จะโทษใครได้ ไม่ได้ระวังตัวเอง...คราวนี้เลยเข้าใจ..ว่าครั้งต่อไป...ไม่ต้องขึ้นมาหา..แค่กวักมือเรียกขึ้นมา เดี๋ยวจะลงไปหาเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
                แต่ในเมื่อมีคนอยากอยู่บนนี้กันเยอะ...ถ้าอย่างงั้น...ผมจะสร้างให้เป็นแบบนี้ก็แล้วกัน ไม่รู้ว่าจะชอบกันมั๊ย....จะสร้างให้เป็นชมรม...ส่วนเรื่องวัสดุก่อสร้างคงเอาไว้ก่อนต้องดูที่ปริมาณคนที่จะเข้ามาอาศัย...ค่อยมาเลือกกันที่หลังตามความเหมาะสม..และชมรมที่จะสร้างให้นั้น..จะใช้ชื่อชมรมว่า...."สมาคมคนชั้นสูง"...คือ จะได้มีสถานะ อยู่สูงกว่าคนที่มีคู่ครองแล้วเสมอ เพราะคนเหล่านั้นยอมลดตัวลงมาเพื่อเรียนรู้การมีความสุขแบบชีวิตคู่ โดยที่ยอมทอดทิ้งคนกลุ่มใหญ่ในสมาคม....ชิวิตประจำวันก็ไม่มีอะไรมาก แค่นั่งดูชีวิตคู่ของคนอื่นอย่างมีความสุขและคอยช่วยปรับทุกข์กับคู่ที่มีปัญหาในฐานะที่เรามีความเข้าใจมากกว่า  ย่ามว่างเราก็มาสนทนา...เรื่องทำกิจกรรมพิเศษ ให้ญาติผู้ในบ้านพักคนชรา สร้างสรรค์ไว้เพื่อตัวเองในอนาคต...และที่ขาดไม่ได้...พวกเราต้องจัดนิทรรศการสร้างเสริมความเข้าใจ สำหรับคนในสมาคมอย่างสม่ำเสมอ เพราะคนส่วนมากในสมาคมอายุอยู่ในเกณฑ์ที่เกิดสภาวะซึมเศร้า ท้อแท้ได้ง่าย..เราต้องให้เพื่อนๆ ในสมาคม ทุกคนเข้าใจว่าที่เรามารวมตัวกันในที่นี้...ไม่ใช่เพราะว่าเราแปลกหรือไม่มีคุณค่าแต่เรายังหาสิ่งที่เหมาะสมไม่ได้...และหากมีวันใด มีใครทีจะลาออกจากสมาคม ที่จะต้องลงไปใช้ช๊วิตอยู่ข้างล่าง..เราต้องสนับสนุนไม่ใช่อิจฉา...แต่เราต้องช่วยเป็นหูเป็นตาแล้วให้กำลังใจ...เพราะพวกเราต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดี...ว่ารถไฟที่มารับเพื่อนเราไป..นั่นคือรถไปขบวนสุดท้าย...ถ้าพลาด...ความซวยน่าจะถามหา...และอาจจะต้องกลับขึ้นมา...ทำสัญญาขอให้พื้นที่ในสมาคม อาศัยอยู่เป็นการถาวร...ซึ่งพวกเราคงไม่สบายใจกันเท่าไรนัก ฮ่าๆๆๆๆ

                หากใครสนใจเข้าร่วมสมาคม ติดต่อได้ที่นี่  http://www.facebook.com/ChomRomYouSook


พอเห็นคน  ลงจากคาน  ขวัญผวา
หรือชะตา   ฟ้ากำหนด  ให้ทั้งสอง
ต้องพลัดพราก  จากความโสด  ที่ถือครอง
ร่วมปรองดอง   มารวมใช้   หัวใจเดียว

ขอดีใจ   และขอให้   คนทั้งคู่
ได้ร่วมอยู่  ใช้ชีวิต   พิสมัย
ได้เริ่มต้น การเดินทาง  แสนยาวไกล
ได้มั่นใจ  ได้ร่วมทาง ได้ถูกคน

ชีวิตคู่  เริ่มต้นอยู่  ด้วยความรัก
แต่พิทักษ์  ให้ยืนยาว  นั้นหลายสิ่ง
ต้องยอมรับ  ต้องเข้าใจ  กันแท้จริง
แล้วทุกสิ่ง  ล้วนลงเอย  สุขนิรันดร์


เรียบเรียงและประดิษฐ์อักษรโดย ...ชายสุขนิยม




วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ฟ.แฟน นั้นหายาก

๐--Sookniyom Poet Society--๐

 
ผู้ชาย..ฟ. แฟน...แบบ สุขนิยม อารมณ์จิกกัด ฮ่าๆๆๆ

ฟ. แฟน.......นั้นหายาก ต้องลำบาก อดทนหา
แค่คิด.........ว่าได้มา แฟนที่ว่า กลับเปลี่ยนไป
อยากได้......คนที่รัก คนฟูมฟัก คนใส่ใจ
ตอนแรก......ได้ดั่งใจ พอนานไป ก็เปลี่ยนแปลง

.....ตอนแรกรัก ก็ฟูมฟัก ดั่งรักแรกพบ
.....พอตอนคบ ช่างน่ารัก น่านับถือ
.....พออยู่ไป มันชักแปลก จากหน้ามือ
.....เปลี่ยนไปคือ เป็นหลังเท้า น่าเศร้าใจ

.....ตอนแรกเข้า บอกเป็นให้ ได้ทุกอย่างแค่
.....ตอนกลาง ไอ้ทุกอย่าง มันอยู่ไหน
.....พอกรูถาม มันก็โกรธ ทำโวยวาย
.....โธ่...ไอ้ฟาย นี่ตอนปลาย ยังไม่มี

.....งั้นกรูขอ ให้มันจบ.. แค่ตอนนี้
.....เอาตอนที่ กรูยังพอ ทำใจไหว
.....ถ้าขืนรอ ให้เป็นต่อ แบบนี้ไป
.....กรูคงได้ อาหารเป็ด เสร็จแน่มรึง .... ๕๕๕๕๕

๏เรียบเรียงและประดิษฐ์อักษรโดย...ชายสุขนิยม
 
 

สุขนิยม อารมณ์...โสด


โสด.....คือสถานะทางกายภาพ ว่าง......คือสถานภาพทางด้านจิตใจ
รอ........คือกิจกรรมยามว่าง...ของคนโสด ช่วงที่ไม่มีอะไรทำ



สถานะ ☑โสดเสมอ เพราะ รอเธอเอาสถานะนี้ออกไป

โสด..อย่างเรา ไม่ดราม่าเพราะเรายังลั๊นลาได้เรื่อยๆ

☑โสดแค่สถานะทางร่างกาย แต่สถานภาพ หัวใจ ใหม่ สด เสมอ ... โสดตรามะลิ

☑ โสด..อย่างคนมีศักดิ์ศรี..เพราะเรามีรักที่ดีอยู่ข้างใน

☑ โสด..อย่างมีคุณค่า เพราะเรารู้ว่าความรักกำลังเดินทางมาหา...เร็วๆนี้

☑ โสด..อย่างทรนง เพราะเราคงไม่เอา หัวใจ ไปให้กับใครที่มองไม่เห็นค่า

☑ โสด..แบบโดดเดี่ยว เพราะอีกเดี๋ยวความรักก็เลี้ยวเข้ามาทักทาย.

☑ โสด..แบบตั้งใจไม่ง้อพรหมลิขิตและDestiny เพราะ หัวใจ เราเป็นของดี ที่ยังไม่ได้วางแผนโปรโมต

โสด = ไม่มีคู่...ไม่ได้แปลว่า ไม่มีความรัก...โสดวันนี้ มีรักที่ดีวันหน้า

ถึงเราจะโสด ถึงจะเหงา..แต่ก็ไม่เคยคิดร้องขอความเห็นใจ...เพราะเราไม่ใช่ "ผู้ด้อยโอกาสทางด้าน..ความรัก"

ถ้าเปิดหัวใจคนโสดอย่างผมดู..คุณก็จะเจอแต่...ความรัก เพราะผมยังไม่ได้แบ่งไปให้ใคร

อย่าคิดว่า..โสดเพราะจำเป็น..บางคนยอมเป็นโสดเพราะว่า อยากเป็น...มันคงดีกว่าเยอะถ้าเป็นคนมีคู่แต่โดนความรักหลอกใช้..."รักความโสด ดีกว่าต้องมายอมรับความไม่ภักดี


ก็เพิ่งรู้ว่า..เป็นโสด..มันดีตรงที่ จะมองใครก็ได้ ถ้ารู้สึกดีและไม่เคยรู้สึก Guilty ถ้าคนที่มองไม่ใช่แฟนตัวเอง...คน
หัวใจ..คนโสดก็เปรียบเหมือนธนาคารความรัก..ที่ยังสามารถรับฝากความรักของทุกคนได้..และยังมีโอกาสได้ใช้ดอกเบี้ยชีวิตที่เรียกว่า..ความสุขโสดสุขได้

ช่วงโสด ก็เปรียบเหมือน ช่วงเทศกาลพักร้อนเป็นฤดูพักผ่อนของหัวใจ
 
ถึงเราจะโสด ถึงจะเหงา..แต่ก็ไม่เคยคิดร้องขอความเห็นใจ...เพราะเราไม่ใช่ "ผู้ด้อยโอกาสทางด้านความรัก"

คนมีคู่มีวันแห่งความรักแค่วันเดียวคือวันวาเลนไทน์ แต่ คนโสดมีวันแห่งความรัก 364 วัน เพราะทุกวันอาจเป็น..วันพบรัก

คนโสด...ไม่ใช่คนไร้คู่หรือคนที่อยู่ไม่มีค่า..แต่..เรายังหาสิ่งที่เรียกว่า..เหมาะสม..ยังไม่เจอ
....และจะขอเป็นโสดซะให้เข็ด..เพราะเราจะใส่ให้เต็มเ ม็ด..กับความรักครั้งต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าประทับใจ ในวัยเยาว์ เมื่อครั้งที่เราเป็น เด็ก (When I was Young)

จำได้ว่าครั้งนึง....ตอนยังเด็กมาก น่าจะประมาณตอนเรียนอยู่ ชั้น ป.1 เป็นเรื่องที่ผมจำได้แม่นยำมากเพราะเป็นประสบการณ์เสี่ยงตายที่เกือบได้ตายสมใจ....
        ผมเป็นเด็กบ้านสวน ของ อ.ตลิ่งชัน บ้านผมเป็นที่อยู่ติดริมคลอง เป็นคลองเล็กๆ ที่ชื่อว่า คลองบางระมาด ... วันนึงมีเพื่อนของพ่อแวะมาหาที่บ้าน แล้วเพื่อนพ่อคนนั้นได้เอา "ตะกรุด" ที่เอาไว้ผูกเอวมาฝากพ่อผม..ด้วยในความที่เป็นเด็กช่างสงสัยและมักจะตื่นตาตื่นใจกับของใหม่ที่ตัวเองไม่เคยเห็นเสมอ ตอนนั้นผมคิดได้อย่างเดียวครับ ว่าสิ่งนี้ คือ ของวิเศษ ถ้าใครมีไว้ครอบครองก็น่าจะมีพลังวิเศษอะไรแบบนั้น...ผมเลยไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเปล่ารีบเข้าไปสอดแทรกอยู่ในวงสนทนาของพ่อในทันทีด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยที่ไม่รู้หรอกครับว่ามันเสียมรรยาท เพราะตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้

        แต่พี่สาวผมคงเข้าใจ เห็นดังนั้น จึงรีบดึงน้องชายออกมาเพราะกลัวพ่อจะรำคาญ แต่..คิดเหรอครับว่าผมจะยอมง่าย ๆ เพราะความสงสัยกับความอยากรู้มันยังไม่หมดไปจากตัวผม ผมก็ยังดื้อไม่ยอม..แต่..ด้วยความปราดเปรื่องของพี่สาวผม เธอจับจุดอ่อนของผมได้ เลยรู้ว่าต้องทำอย่างไรผมถึงจะออกมาจากตรงนั้น...เธอจึงสร้างประโยคขึ้นมาที่ทำให้รู้สึกน่าสนใจกว่าที่ผมจะอยู่ตรงนั้น..มันก็คือเรื่องประเภทเดียวกันที่พวกผู้ใหญ่ชอบใช้  "เรื่องหลอกเด็ก" นั่นแหละครับ ประโยคนั้นก็คือ " รู้มั๊ยว่า อันนี่น่ะ (มือชี้ไปที่ตะกรุดอันนั้น) เค้าเรียกว่าอะไร แล้วอยากรู้มั๊ยล่ะว่าใส่แล้วจะมีพลังวิเศษยังไง อยากรู้ก็ตามมา" แล้วพี่สาวผมก็เดินออกมาจากตรงนั้น..โอ้โห..ไงล่ะครับ เจอประโยคนี้เข้าไป เล่นผมซะอยู่หมัด เหมือนโดนน๊อคคาเวที เดินตามออกมาแทบไม่ทัน ลืมเรื่องสนใจของจริงที่อยู่ตรงหน้าในทันที....เพราะไอ้เรื่องจะมีอิทธิฤทธิ์ มีอภินิหาร นี่แหละครับ แหม...ก็อย่างว่าแหละครับ ตอนเด็ก มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นยอดมนุษย์ ผมเลยต้องตกเป็นเหยื่อของพี่สาวตัวเอง ด้วย เรื่องหลอกเด็ก ...คิดแล้วแค้น...^___^..

         ผมรีบตามไปถามพี่สาว ทันที.."บอกหน่อยดิ ว่าถ้าใส่ไอ้นั้นและจะมีพลังวิเศษยังไง บอกหน่อยนะ" .... พี่สาว ผมคงไม่รู้จะโกหกยังไงต่อเลย นิ่งเงียบ ไม่ตอบ อยู่สักพักแต่เธอคงเริ่มเห็นเค้าลางบางอย่างในตัวผม ว่าถ้าไม่รีบตอบ มันต้องกลับไปที่เดิมตรงพ่ออยู่แน่ จึงตัดใจรีบตอบก่อนที่ผมเบนความสนใจ..."ใส่แล้วว่ายน้ำเป็น" มันเป็นคำตอบที่สิ้นคิดของผู้หญิงคนนึง แต่ มันกลับสร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับเด็กน้อยคนนึงอย่างมากมายมหาศาล เพราะการว่ายน้ำไม่เป็นของเด็กริมคลองในช่วงเวลานั้นของผม...มันคือรอยด่างในชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ..เพราะเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันแถวนั้นเค้าว่าน้ำเป็นกันทุกคน...มันเป็นปมด้วยมากๆ ครับ เวลาเพื่อน ๆ ว่ายน้ำเล่นข้ามคลองกันอย่างสนุกสนาน แต่ เราต้องนั่งอยู่ในน้ำเป็นพนักงานเฝ้าบันไดท่าน้ำ...มันเศร้าจริงๆ นะครับ แต่จากวันนี้ไป ความหวัง ที่จะได้ว่ายน้ำเป็นเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ได้เปล่งประกายความสดใสในจินตนาการ ภาพการว่ายน้ำเล่นอย่าสนุกสนานร่วมกับเพื่อน มันว่ายเวียนอยู่ในความคิดผมอย่างมีความสุข ณ เวลานั้น
         จากกวันนั้น...ความมุ่งมั่นของเด็กน้อยก็ได้ถือกำเนิดขึ้น..สิ่งนั้นก็คือ การออกตามหาตะกรุด อันนั้นให้เจอให้ได้ ว่าพ่อเก็บเอาไว้ที่ไหน ... แต่ตามหาอยู่หลายวันครับ ก็ยังไม่เจอซักที ไม่รู้ว่าพ่อเอาไปเก็บหรือซ่อนเอาไว้ที่ไหน แต่ก็ไม่เคยละความพยายามครับ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องหาให้เจอให้ได้ เพื่อจะได้เอามาลบรอยต่างในชีวิตตัวเองให้ได้...แล้ววันนึงก็เหมือนโชคจะเข้าข้าง ฟ้าเป็นใจ พ่อผม..หยิบตะกรุดอันนี้ออกมาเพื่อให้เพื่อนๆ พ่อดู....ผมเห็นอย่างนั้น ก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ "ฮ่าๆๆๆ วันนี้แหละ จะเป็นวันที่จะได้รู้สักที ว่าพ่อเอาของวิเศษสิ่งนี้ ไปซ่อนไว้ที่ไหน กันแน" จากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องตามติดแบบไม่กระพริบตา ผมนั่งรอทำทีเป็นไม่สนใจรอจนกว่าพ่อจะเอาของวิเศษสิ่งนี้ไปเก็บ...(ผมว่าตอนนั้นพอ่ผมคงรู้สึกแปลกใจนิดๆ แหละครับว่า เออวันนี้ลูกชายเราเป็นเด็กดีไม่ออกไปเล่นซนที่ไหนอยู่ติดบ้านได้ ฮ่าๆๆๆ) แล้วในที่สุด เวลาที่เฝ้ารอคอยมาตลอดก็มาถึง พ่อผมเดินเตะกรุดอันนั้นไปเก็บ ผมก็แสร้งทำเป็นเดินตามไปแบบเนียนๆ ไม่ให้พ่อเอะใจ ... แล้วผมก็ต้องแปลกใจ อึ้งกิมกี่สุดชีวิต พระเจ้าช่วย ไม่น่าเชื่อ พ่อผมนี่ช่างล้ำลึกจริงๆ กับการหาที่เก็บของวิเศษสิ่งนี้จริงๆ นี่มั๊งที่เค้าบอกๆ กันว่า ที่ๆ อันตรายที่สุด คือที่ ๆ ปลอดภัยที่สุด...รู้มั๊ยครับว่าพ่อผมเก็บตะกรุดอันนี้ไว้ที่ไหน? พ่อแขวนมันไว้ที่หน้าห้องตรงหัวตะปูข้างๆ ปฏิทิน..ซึ่งผมก็ผ่านทุกวันแต่ไม่เคยสังเกตุเลย ว่ามันอยู่ตรงนั้นมาตลอด เอาแต่ไปหาอยู่แต่ในห้องของพ่อ คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจตัวเองว่าทำไมเราถึงโง่และเซ่อขนาดนี้...แต่สุดท้ายมันก็ย้อนกลับไปเป็นความชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของพ่อตัวเองที่สามารถหลอกลูกชายตัวเองได้สนิทใจ(มาคิดในใจตอนนี้..อย่างว่าแหละครับหลอกคนใกล้ตัวมันง่ายกว่าหลอกคนอื่นอยู่แล้ว พ่อหลอกเรื่องที่ซ่อนตะกรุดผมได้ แต่พ่อกลับหลอกโจรที่มาขโมยจักรยานของผมไม่ได้ หรือเป็นเพราะว่าพ่อผมมือตก เนื่องจากเวลามันก็ห่างกันตั้ง สิบกว่าปี ก็น่าคิดและมีโอกาสเป็นไปได้ คริคริ)
          และแล้วช่วงเวลาที่จะสร้างเรื่องประทับใจ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเด็กคนนึงก็เกิดขึ้น....ผมหาโอกาสและจังหวะที่ทุกคนไม่ได้หน้าบ้านตรงริมน้ำ..แล้วตั้งใจว่า จะปีนไปเอาตะกรุดวิเศษอันนั้นลงมา ผูกเอวตัวเองซะ แล้วจะกระโดดน้ำให้เสียง ดัง ๆ จากนั้นก็ว่ายออกไปกลางคลองเพื่อตะโกนให้ทุกคนได้ยินว่า "ดูนี่..ผมว่ายน้ำเป็นแล้ว" ..นี่แค่คิดนะครับ ก็มีความสุขซะเหลือเกิน...แล้วเวลานั้นก็มาถึง ผมรีบทำตามขั้นตอนที่กล่าวทั้งหมด แต่....ขั้นตอนที่ทำได้ มันมาสะดุดและหยุดตรงที่ กระโดดน้ำเสียงดัง แค่นั้นเอง...จากนั้นคงเดาต่อไม่ยากไม่ใช่มั๊ยครับว่าเกิดอะไรขึ้น...ใช่ครับ "ผมจมน้ำ" เวลานั้นรู้สึกอย่างเดียวคือพยายามตะเกียกตะกาย ร้องตะโกนจนกินน้ำเข้าไปหลายอึก ทั้งเข้าจมูกออกปาก จากนั้น ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนแว่วๆ มาให้ได้ยินจากบ้านฝั่งตรงข้าม.."เร็ว ๆ โว๊ย มีคนตกน้ำ อ้าว ไอ้ต๋า นั่น ไอ้ต๋านี่ เร็ว ๆ เข้ามันจะจมแล้ว" แล้วก็มารู้สึกอีกที่ว่ามีมือใครสักคนอาโอบที่ตัวเราเอาไว้แล้วก็พาเราว่ายเข้าฝั่ง.....พอถึงฝั่งตรงบันได เท่านั้นแหละครับ ผมแผดเสียง แหกปากร้องลั่น ร้องไห้แบบไม่คิดอะไรอีกแล้ว...ทั้งตกใจ ทั้งกลัว ทั้งสำลักน้ำ ทั้งทรมานน้ำเข้าจนแสบจมูกไปหมด สารพัดความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา..แต่ที่หนักหนาสาหัสที่สุด ก็คือ เจ็บใจที่โดน พี่สาวตัวเองหลอกซะยับเยิน..ความฝัน สลายไปในพริบตา ... แต่รู้มั๊ยครับ คนที่กระโดดไปช่วยผมคนแรกคือใคร...พี่สาวผมเอง..พอตั้งสติได้ แล้วเห็นว่าใครอยู่กับเราในน้ำ เรื่องที่คิดจะโกรธ มันหายไปหมดเลยครับ ก็ได้แต่โผเข้ากอดแล้วก็ร้องไห้อย่างเดียวเท่านั้น 
          หลังจากวันนั้นผมมารู้ทีหลังว่า พี่สาวผมคือคนที่อยู่ไกลที่สุดจากจุดที่ผมตกน้ำแต่กลับไปถึงตรงนั้นเป็นคนแรก แม่ผมยังแซวเลยครับว่าพี่ผมเค้าหายตัวได้ ไวเป็นลิงลม ถึงจะเจ็บใจที่โดนพี่สาวตัวเองหลอกแต่ก็รู้สึกดีครับที่พี่สาวผมยังรักและยังคองปกป้องน้องชายคนนี้อยู่....ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็มีอยู่อย่างนึงที่ผมรู้สึกได้แอบสะใจอยู่เล็กๆ คือวันนั้น นาฬากาเรือนโปรดของพี่สาวผม จมน้ำหายใต้คลองแทนผมไปเรียบร้อยครับ....คริคริ ขอคืนหน่อยนะพี่สาวคนแสบ


            ก็อยากฝากเอาไว้นะครับ...สำหรับผู้ใหญ่ทั้งหลาย เก็บไว้คิดกันสักนิดครับ..อย่าหาเรื่อง ไปหลอกเด็ก กันให้มากไป  มันไม่ดี ระวังจะต้องเสีย ของรักของหวง เพราะว่า เราไปหลอกเด็ก ....กรรมมันตามทัน ได้ในทันทีเหมือนกัน..คริคริ

เย็นศิระ เพราะพระบริบาล

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า ชาย สุขนิยม ... แห่งหน้า Blogpost Sookniyom


ผมโดนสาวเกาหลี..ทำร้าย..ยับเยินๆ



สวยแบบซี่รี่ย์สาวเกาหลี สวยแบบบล็อคเดียวกัน
ถ้าพูดถึงเรื่องความสวยของสาวๆ สมัยนี้...ผมว่าตั้งแต่ชนชาติเกาหลีได้วิวัฒนาการเรื่องความสวยแบบไม่ง้อธรรมชาติไปจนทะลุติดเพดานนางฟ้ากันเกือบหมดประเทศจนสามารถเผยแผ่ส่งออกมายังประเทศไทย และเป็นที่นิยมเลียนแบบกันอย่างแพร่หลายในหมู่สาวๆ บ้านเรา..ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กๆ ที่ยังไม่ทันจะแตกเนื้อสาว ก็เริ่มวิวัฒน์เริ่มเรียนรู้และเริ่มเข้าสู่นวัตกรรมความงามตั้งแต่ยังไม่ทันเป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำไป...ส่วนผมตอนนี้เหรอครับ ผมเริ่มที่จะแยกแยะความสวยไม่ออกแล้ว..ว่าแบบไหนสวยจริง,สวยแท้.สวยเทียม.สวยปลอม,สวยทำ,หรือแม้แต่สวยธรรมะ(ธรรมชาติยัดเยียดมาให้สวย)...เพราะพวกเธอสวยกันมาเป็นซีรีย์..เป็น collectoin กันเลยทีเดียว..แบบว่า..ไล่เรียงกันมาเป็น Generation สวยบล็อคเดียวกันหมด...ณ. ตอนนี้ ผมว่าสมองส่วน ซีรีเบลลัม  ที่ทำงานสำหรับแยกแยะเรื่องความสวยในหญิงสาว ของผม ทำงานบกพร่องไปเยอะครับตั้งแต่สาวๆ เกาหลีเข้ามาอาละวาดในประเทศไทย..น่าจะถึงขั้นเสียหายรุนแรงเลยก็ว่าได้...ผมคิดว่า..ผมน่าจะโดนสาวๆ เกาหลีทำลายประสาทการรับรู้เรื่องความสวย ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ...>_<!!!!!!
    

              ทุกวันนี้... อยากบอกว่าสาวๆ บ้านเราเดินเข้าคลีนิคศัลยกรรมพลาสติกหรือสถาบันเสริมความงามดูเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว..เหมือนประหนึ่งว่าเข้าไปเดินเล่นช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้ากันเลยก็ว่าได้ ไปทำศัลยกรรมพลาสติกแบบไม่คิดอะไรมากนอกจากขอแค่ออกแล้วสวย( ตอนเดินเข้าไปสภาพเหมือนกับนางมารทำหน้าปวดใจแต่พอขากลับออกมาเหมือนเกิดใหม่ได้เป็นนางฟ้า..คริคริ ) เดินไปหาหมอเหมือนกับเดินไปสั่งอาหารในร้านข้าวราดแกง ไม่ต้องเปิดเมนูให้เสียเวลา..ดูรูปดาราคนโปรดแล้วสั่งทำได้เลย ฮ่าๆๆสนนราคาเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม บางที่มีระบบผ่อนชำระด้วยซ้ำไป (สวยแบบผ่อนส่ง )ฮ่าๆๆๆ ..ส่วนอีกสิ่งหนึ่ง ที่ขาดกันไม่ได้นั่นก็คือ...อาหารเสริมความงามหรือเรียกให้ตรงประเด็นก็คือ ยาบำรุงความสวย นั่นแหละครับ รับประทานกันราวกับว่าเป็นขนมทานเล่นซะอย่างนั้น บางคนกินครั้งหนึ่งเป็นกำมือคือเรียกว่ากินมื้อเดียวอิ่มแทนข้าวได้เลย..โอ้โห..(คิดในใจ) นี่ช่างเป็นบุญวาสนาของเราจริง ๆ ที่ไม่ได้เกิดมาเพื่ออยากเป็นคนสวย ไม่งั้นคงแย่แน่ๆ ... คริคริ


สวยทะลุเพดานนางฟ้า ทุกนางจริง ๆ
          ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัวนะครับ กับเรื่องการฝืนกฎธรรมชาติในลักษณะนี้..เพราะผมมีความเชื่อส่วนตัวอยู่อย่างหนึ่งว่า..ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะไปฝืนความจริงของมันได้ และยิ่งเราหากแข็งขืนต่อกฏของธรรมชาติหรือลุกล้ำความพอดีไปปรับเปลี่ยนวงจรที่ธรรมชาติเป็นอยู่มากจนเกิน วันนึงธรรมชาติจะกลับมาเอาคืนอย่างแสนสาหัส ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างที่เราเห็นๆ กันในปัจจุบันกับภัยพิบัติร้ายแรงต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกของเราในเวลานี้ สาเหตุก็เนื่องมาจากการรุกล้ำและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากธรรมชาตที่มากจนเกินความพอดี ซึ่งทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากน้ำมือมนุษย์โดยทั้งสิ้น

            สำหรับผม... คงไม่ขอฝืนหรือแหกกฎใดใดของธรรมชาติอย่างแน่นอน ขอเป็นคนหล่อมีธรรมะ แบบนี้เรื่อยไปดีกว่าครับ สบายใจดี เพราะหล่อมีธรรมะในแบบของผม ก็คือ หล่อแบบธรรมชาติลงโทษมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ...ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


นี่คือ 3 นิยามรัก...ของ 3 เอกบุรุษ

นี่คือ 3 นิยามรัก...ของ 3 เอกบุรุษ ผู้สร้างตำนานไว้บนโลกใบนี้...กับอีก 1 หนุ่มผู้ที่ชอบเอาตัวไปสอดแทรกอิงแอบกับบุคคลที่เป็นตำนาน...คริคริ


บุเรงนอง : “เจ็บใจนักคนรักโดนรังแก ข้าจะเผาเมืองแปร ให้มันวอดวาย”
.......อย่าได้แปลกใจว่าทำไมบุเรงนองถึงรบชนะทั่วทั้งสิบทิศ เพราะบุเรงนองใช้ความรักเป็นแรงบันดาลใจในการรบ ความรัก มันมีอานุภาพมันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งใดทั้งปวง
เมื่อรบชนะ บุเรง...นองเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามรักทันที ด้วยทฤษฎิ 1 เมือง1 เมีย ในบัดดล

อัลเบิร์ต ไอสไตน์ : "แรงโน้มถ่วงของโลกมิได้รับผิดชอบใดใด ในการที่บุคคลจะตกหลุมรักกัน"
.........เพราะแรงดึงดูดโลกมันน้อยกว่าแรงดึงดูดของเธอ ความรักของเธอเปลี่ยนขั้วสนามแม่เหล็กโลก แล้วสร้างแรงโน้มถ่วงขึ้นมาใหม่ ทำให้โลกของเราต้องไปหมุนรอบตัวเธอ

เช็คสเปียร์ : "ความรักมองไม่เห็นด้วยดวงตา แต่มองเห็นด้วยดวงใจ"
.........เพราะความรักทำให้คนครึ่งหนึ่งตาบอดสนิท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งแค่ตาบอดสี เพราะมองอะไรก็เห็นเป็นสีชมพู

ชายสุขนิยม : “ผมสร้างทฤษฎีสมคบคิดกับความสุข..แล้วขอยืมความรักของทุกคนเอามาใช้...ความรักของใครที่ให้ยืมมาก็อาจจะไม่ได้คืน แต่ผมจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นความสุขชดเชยให้ตลอดไป”
.........เพราะฉะนั้น..อย่าได้สงสัย ว่าทำไมความรักถึงอยู่รอบๆ ตัวผู้ชายคนนี้มากมายเหลือเกิน เพราะเค้าสะสมความรักในแบบนามธรรมไม่สะสมแบบรูปธรรม..คือมีแต่” ความรัก”...โดยที่ปราศจาก “คนรัก”..คริคริ..^_____^..ชายสุขนิยม

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ถ้าหนูได้เป็นนายก หนูจะให้ หนุ่มเมืองจันท์ มาเป็นนายกให้หนู

คนอื่นเรียกหนุ่มเมืองจันท์...แต่..ผมเรียกหนุ่มสองแรง
..........ถ้าหนูได้เป็นนายก หนูจะให้ หนุ่มเมืองจันท์ มาเป็นนายกให้หนู.........

                อย่าแปลกใจนะครับ...ทำไมถึงเป็นแบบนั้นแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ  คุณครูชอบถามคำถามนี้กับ เด็ก ๆ อย่างพวกผมอยู่เสมอว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” มันเป็นคำถามที่ตอบไม่ยากเลยครับ....เพราะเด็ก ๆ อย่างพวกผมตอบได้ไม่กี่อย่าง...อาชีพแรกแน่นอนครับ ต้องเอาใจกันไว้ก่อนเอาไว้อ้อนตอนไม่ส่งการบ้าน ...คือ เป็นครู จากนั้นก็เข้า แพทเทิ่น อาชีพตามอยากอยู่ไม่กี่อย่าง...หมอ ตำรวจ ทหาร พยาบาล นักบิน และสุดท้าย เป็นนายกฯ....นี่แหละครับ...ผมเชื่อเหลือเกินว่า เด็ก ๆ เหล่านั้นที่ตอบคำถาม ไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าการจะไปเป็นคนอาชีพต่างเหล่านั้นต้องทำอย่างไรบ้างหรือหากคิดก็คิดแค่ โตไวไวแล้วจะได้เป็นกันเอง เพียงเท่านั้นจริง ๆ

                อย่างที่ผมบอกไป หากตอนนี้ผมป็นเด็กคนนั้นผมจะบอกว่า..."หนูอยากเป็นนายก เพราะหนูอยากให้ “หนุ่มเมืองจันท์” เป็นนายกฯ แทนหนู".....เพราะผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า...หนุ่มเมืองจันท์ คนนี้ ต้องเป็นนายกฯ ที่ดีของคนไทยได้อย่างแน่นอนและจะเป็นนายกฯ ที่เก่งมากด้วยครับ น่าจะเป็นความหวังของคนไทยได้ทั้งประเทศ...เพราะอะไรหรือครับ...เพราะ หนุ่มเมืองจันท์..มักจะคิดเรื่องยาก ๆ ให้กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย ๆ ได้เสมอ ... หลาย ๆ ครั้งที่ได้อ่านข้อเขียนหรือบทความที่ หนุ่มเมืองจันท์ เป็นผู้เขียน ผมต้องทึ่งและประทับใจ ทุกครั้งว่า..ทำไมผู้ชายคนนี้คิดอะไรมองอะไรดูเป็นเรื่องเข้าใจง่ายไปซะทั้งหมด ไม่ว่าเรื่อง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม ต่างประเทศ ปรัชญา  เป็นผู้ชายประหนึ่งว่า ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยที่เข้ามาในชีวิต...นี่แหละ...ผู้ชายคนนี้ จึงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด สำหรับ การเป็นนายกฯ เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ เพราะจะได้เอาวิธีย่อโลกที่เค้าชอบคิด และวิธีคิดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เอามาทำงานเพื่อบ้านเมือง เพราะนักการเมืองสมัยนี้ชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก และชอบทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่องที่เป็นเรื่อง ซะทุกทีไป อย่างที่เห็นเป็นข่าวกันบ่อย ๆ  และเหตุที่ผมต้องอยากเป็นนายกฯ ก่อน ก็เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ยอมสมัครเข้าพรรคการเมืองไหนหรือยอมลงเลือกตั้งเป็น ส.ส. อย่างแน่นอนครับ ... “แต่ไม่ต้องห่วงครับ ก่อนที่จะเชิญ หนุ่มเมืองจันท์ ไปเป็นนากยกฯ ผมจะยอมให้คนทั้งประณาม หยามเหยียด ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญเป็นฉบับเฉพาะกาล...ที่ว่าด้วย... การเป็นนายกฯ คนนอกที่ต้องเป็นได้เฉพาะ หนุ่มเมืองจันท์...ผู้เดียวเท่านั้น”  ถ้าหาก...หนุ่มเมืองจันท์ ตีลังกาแบกโลกได้ ผมว่า แค่แบกภาระคนไทยเพียงแค่ 73 ล้านคน คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับผู้ชายคนนี้..และคิดว่าคงไม่กล้าปฏิเสธอย่างแน่นอนเพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เสียสละครับ คงเห็นแก่ประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เพื่อคนไทยทุกคนจะได้ อยู่ดี มีสุข ...มองโลกง่าย ๆ สบายดี , แพ้ได้แต่ไม่ยอม ,พลิกมุมคิดชีวิตเปลี่ยน, มองเห็น...ปัญหาคือยาวิเศษ...และมี...ความสุข ณ. จุดที่ยืน...กันทั้งประเทศ...คิดเหมือนผม มั๊ยครับ แล้วพอพวกเราได้ หนุ่มเมืองจันท์ มาเป็นนายกฯ พวกเราก็จะได้มามองอะไรๆ ง่ายๆ อย่างที่ ท่านนายกฯ ของพวกเราทำไว้เป็นแบบอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ สังคมไทย คงน่าอยู่ขึ้นมาอีกเยอะ คนไทยทั้งประเทศ คงจะสะกดคำว่า ปัญหา กันไม่เป็นเลยทีเดียว บางที ประเทศไทย อาจจะ มีการบัญญัติศัพท์ใหม่ ให้กับคำว่า ปัญหา เปลี่ยนเป็นใช้คำว่า...ท้าทาย..แทนกันไป..เพราะ ปัญหาเป็นเรื่องที่ ท้าทาย แล้วมันก็เข้ามาเพื่อทำให้ชีวิตเราตื่นเต้น ให้เราสนุกกับการ แก้ไข ไม่ใช่มาจมอยู่กับมัน เพราะปัญหาไม่ใช่ปลักและเราก็ไม่ใช่สัตว์ประเภทที่ชอบเอาตัวเองไปอยู่ในนั้น..ใช่มั๊ยครับ ท่านนายกฯ
                ผมว่าสังคมไทยทุกวันนี้..เราใช้คำว่า..ความดี..ฟุ่มเฟือยมากเกินไป เราไม่ได้ใส่เรื่อง ที่มา เหตุผลของความดีหรือแม้แต่บอกวิธีการทำ มันจึงเป็นความดี ที่ลอยไปลอยมา เป็นนามธรรมไม่สามารถ ออกมาเป็นรูปธรรมที่เกิดคุณประโยชน์ของความดีนั้นๆ แต่อย่างใด  เหมือนเช่น การตั้งคำถามเด็กๆ ของคุณครู ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร โดยที่เราไม่ได้ปลูกฝังให้เด็ก ๆ เหล่านั้นรู้เลยว่า...การประกอบอาชีพนั้นๆ ให้ได้ดีและมีจริยธรรมที่ดีควรทำอย่างไร ผมว่าเด็ก ๆ ก็ควรรู้เหตุผลประกอบบ้างก็ดีนะครับ ดีกว่าให้พวกเค้าแค่อยากเป็นโดยไม่รู้อะไรเลย และประเด็นนึงเลยนะครับที่ผมไม่ค่อยเข้าใจในความเป็นผู้ใหญ่ มักจะบอกปัดกับเด็ก ๆ ในบางประเด็นที่พวกเค้าอยากรู้...ด้วยประโยคที่ว่า “เป็นเด็ก เป็นเล็ก อย่าเพิ่งรู้เลย เดี๋ยวโตไปก็รู้เอง” ผมว่าเป็นการบอกปัดเพื่อขอไปทีของผู้ใหญ่ แต่มันจะทำให้เด็กนำไปใช้ได้อย่างผิด ๆ เมื่อพวกเค้าเหล้านั้นโตขึ้นมา

                ผมเคยลองคิดเล่น ๆ นะครับ  น่าจะเป็นเรื่องที่ดี หากเรามีคู่มือการทำความดี ในสาขาอาชีพต่าง ๆ มอบให้ไว้สำหรับผู้ที่กำลังเริ่มจะทำงานในอาชีพนั้น ๆ  ตั้งแต่เริ่มงานใหม่ ๆ และจำเป็นต้องพกคู่มือนี้ติดตัวไปตลอดอายุในการทำงานอาชีพนั้น แล้วทุกคนต้องนำคู่มือการทำดีในอาชีพมาใส่คะแนนประเมินผลกันทุกวันเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง ฮ่าๆๆๆ ... พอถึงตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึง ละครที่วีญี่ปุ่นสมัยเด็ก ๆ แต่ต้องขออภัย..จำชื่อเรื่องไม่ได้จริง ๆ แต่ผมพอจำได้ว่า ใคร ๆ เรียกชื่อละครเรื่องนั้นว่า “เจ้าหุ่น”เป็นเรื่องที่มีตัวเอกเป็นหุ่นยนต์ตัวกลม ๆ เหมือนกระป๋อง เป็นตัวดำเนินเรื่อง ถูกส่งไปอยู่ร่วมกับคนในสังคมเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ พร้อมเพื่อน ๆ หุ่นยนต์ด้วยกัน คอยสร้างความดีให้แก่โลกมนุษย์...ผมจำได้ว่าก่อนจะจบทุก ๆ ตอน หุ่นยนต์ทุกตัวต้องมารวมตัวกัน เพื่อส่งอะไรบางอย่างเป็นเหมือนกระดาษประเมินผลการทำความดี ลงไปในเครื่องแล้วผลคะแนนความดี ของหุ่นแต่ละตัวก็จะออกมา เชื่อมั๊ยครับว่า เจ้าหุ่น ตัวเอกของเรื่อง ได้คะแนน 0 คะแนนเกือบทุกครั้งจากการที่ออกไปช่วยเหลือเด็ก ๆ จะมีนาน ๆ สักครั้ง ที่จะได้คะแนนมากขึ้นมาหน่อย แต่อยากบอกว่า เจ้าหุ่นตัวนี้ เป็นหุ่นยนต์ที่มีจิตใจดีนะครับ ดีมากซะด้วย  แต่ด้วยความตั้งใจจะทำความดีช่วยเหลือคนอื่นของเจ้าหุ่น จะเป็นการกระทำอยู่ผิดที่ ผิดเวลาเสมอ กลายเป็นเรื่องปรารถนาดีแต่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะ ซะทุกครั้งไป น่าสงสารจริง ๆ ครับเจ้าหุนตัวนี้ แต่สำหรับผม ความปรารถนาดีที่ปราศจากความต้องการ มันกลายเป็นคนละเรื่องได้เลยนะครับ ฮ่าๆๆ
                ผมเลยกลับมาคิดเล่น ๆ ต่อ....ว่าการทำความดี..มันก็ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ เหมือนกัน ทุกอย่างต้องประจวบเหมาะ พอดี ถูกที่ ถูกเวลา ในจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นก็เป็นเหมือนเจ้าหุ่น ตัวนั้นไงครับ...นี่ไงครับด้วยเหตุนี้หรือเปล่าคนเลยไม่ค่อยกล้า..ที่จะทำความดี...เพราะกลัวว่าจะส่งผลร้ายต่อตัวเองหรือแม้แต่กับผู้อื่นหรือไม่ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะเริ่มต้นทำความดีด้วยวิธีอะไร...มันก็มีโอกาสงง ๆ มึน ๆ ได้เหมือนกันนะครับ ทำให้ผมนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ข้อนึงคือ..”การที่ไม่ประกอบกรรมชั่ว นั่นคือการที่เราได้เริ่มสร้างกรรมดีแล้วเช่นกัน” เหมือนกับว่า...พระพุทธเจ้า..ได้วางกุศโลบาย เรื่องความดีความชั่ว มอบไว้สำหรับมนุษย์ทุกคน พระองค์ เข้าถึงแก่นแท้ความเป็นมนุษย์จึงแบ่งระดับความรับรู้ความเข้าใจของคนเอาไว้เหมือนกับดอกบัว 4 เหล่า อย่างที่เราทราบกัน...แต่ด้วยความลึกซึ้งขององค์ศาสดา อาจจะทรงเป็นห่วงดอกบัวเหล่าสุดท้ายเกรงว่าจะเข้าใจอะไรยากและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำดีได้อย่างไร เลยเอากลอุบายที่เป็นกุศล....มาดักทางไว้ กันไว้ก่อน รอเวลาเติบโต เรียนรู้ให้เข้าใจมากขึ้น...กุศโลบาย นั้นก็คือ......ศีล 5...นั่นเองครับ...ท่านทรงคิดแนวทางป้องกันเอาไว้ว่า หากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทำความดีอย่างไร ก็แค่เอาศีล 5 ข้อนี้ไป แล้วปฏิบัติตามให้ได้ แค่นี้ก็ได้ทำกรรมดี และเป็นคนดีได้แล้ว...ผมคิดว่า พระพุทธเจ้า องค์ศาสดาแห่งศาสนาพุทธของเรา พระองค์ทรงมีอัจฉริยภาพปราดเปรื่องมากในเรื่องของความคิดวางแผนให้คน  คิดดี ทำดี ได้อย่างยอดเยี่ยม
                แต่พอย้อนกลับมามองที่ตัวเองและทำความเข้าใจเรื่องการทำความดี สำหรับผมคงเอา ศีล 5 มาเป็นเกณฑ์วัดเรื่องความดีไม่ได้แน่ ถ้าวัดจริงคงเหลือไม่กี่ข้อหรืออาจจะไม่มีเหลือ แต่อย่าเพิ่งมองว่าผมจะป็นคนเลวหรืออย่างไร เพียงแต่ผมเข้าใจแล้วว่า ตัวเองน่าจะหลุดพ้นการเป็นบัวเหล่าสุดท้ายขึ้นมาอีกระดับนึง ถึงไม่มากมายแต่อยู่สูงกว่าอย่างแน่นอน  อันอุบายที่เป็นกุศลนี้ผมคงไม่ต้องนำมาใช้ เพราะผมพอจะเข้าใจเรื่องการทำความดีในรูปแบบอื่นๆ อยู่บ้างและผมได้ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า “ผมจะทำดีให้ท่านนายกฯ ดูและผมจะหมั่นทำความดีเพื่อท่านนายกฯ เพราะผมชื่นชม นายกฯ ท่านนี้”  นี่คือ...จุดเริ่มต้นการทำความดีของผมครับ ... อยากบอกว่านายกฯ ท่านนี้ “เป็นคนคิดดีและมักจะมีของดีมาบอกต่อให้คิด ถ้าเราคิดได้ก็ดีและหากคิดให้ดีเราก็จะได้..คิดตามท่านไม่เสียตังส์ แต่...จะเสียตังส์ก็ต่อเมื่อ คิดติดตามผลงานของท่านนายกฯ..นี่แหละครับ” อย่าคิดมากครับเรื่องแบบนี้ มีเสียมาก ก็ต้อง มีเสียน้อย เป็นของคู่กันเพราะเสียทั้งคู่ เป็น เป็นสัจธรรมของ หนุ่มเมืองจันท์ ขนานแท้ 

เรื่องอายุ ขอร้องอย่าต่อเลย เพราะผมไม่เคยบอกผ่าน

                 ช่วงที่เคยทำงานในสถานร่าเริงยามราตรีย่านรังสิต..เคยมีน้องๆ หลายๆ คน บอกผมว่า  ดีใจจังที่ผม ก็เป็นรุ่นพี่ที่คณะมหาลัยเดียวกัน ที่ คณะนิเทศ ม.กรุงเทพ ผมก็ได้แต่ยิ้มเล็กๆ ตอบรับในใจ...เพราะหากแสดงออกมามากไปก็คงไม่สู้ดีนัก เพราะกับน้อง ๆ หลายคน หากไล่เรียงกันโดย เอารหัสนักศึกษาเมื่อตอนผมเรียน หักลบกับรหัสของน้อง ณ ปัจจุบัน บางคนยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป...เพราะมันมากกว่าอายุของน้องเค้าซะอีก...แต่นี่ก็ถือว่าผมโชคดีมากเช่นกันนะครับ ที่ตอนนั้นยังไม่มีกรณี ของแอนนี่ กับฟิล์ม ถ้าเรื่องนี้ เกิดตอนนั้นผมคงลำบากคิดว่านี้อีกเยอะทีเดียว ผมคงต้องคำนวณตัวเลขในใจบวกลบกันหลายครั้งตามประสาคนชอบคิดอย่างผม แล้วก็ต้องคำนวณย้อนหลังจากวันเกิดน้องถอยไปอีก 9 เดือนต้องนับวันเผื่อหน้า7หลัง7 กันเลยทีเดียว และหากลองคิดเล่น ๆ ดู ไม่แน่นะครับ วันที่ผมเดินเข้ามหาลัยวันแรก อาจจะเป็นวันที่ สิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ กำลังเริงร่าแหวกว่ายเอาตัวสอดแทรกเพื่อเข้าไปในใข่ฟองนึงแล้วก็ร้องตะโกนว่า...I am  winner ...และการปฎิสนธิในครั้งนั้นก็ทำให้เกิดน้อง ๆ คนไหนสักคนนึงขึ้นมาซึ่งกำลังคุยอยู่ข้างหน้าผมตอนนี้ คิดแล้วก็ภูมิใจแบบเศร้าๆ ยังไงพิกล
                สำหรับผม เรื่อง อายุ ผมไม่ค่อยจะคิดมากหรือซีเรียสอะไรมากมาย ผมคิดว่า อายุมันก็คือของแถมที่กาลเวลาทิ้งเอาไว้ให้ ผมว่าสิ่งสำคัญและดีที่สุดที่ผมได้จาก เดินทางผ่านกาลเวลา คือ ประสบการณ์ที่ผ่านมาเข้าในชีวิตมากกว่า แต่กับของแถมสิ่งนี้ ก็เป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมา ใครถามผมจะบอกตามตรงและบอกความจริงเสมอ ผมถือว่า เรื่องอายุเป็นเรื่องที่เราต้องยืดอกรับเพราะกว่าเราจะได้อายุมาสะสมแต่ละ 1 ปี  ต้องใช้เวลาถึง365 วัน ไม่ง่ายเลยนะครับ แล้วยิ่งถ้าวันไหนมีอะไรอยู่ในใจเยอะๆ โอ้โห กว่าจะผ่านไปแต่ละวันช่างนานแสนนาน และผมเลยเป็นคนที่สะสมอายุกับมิตรภาพเป็นงานอดิเรกครับและเชื่อมั๊ยครับว่าวันนี้วันที่ผมกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้อยู่เป็นวันที่ผมสะสมอายุได้มากที่สุดในชีวิต ฮ่าๆๆๆ
                 ผมเคยคิดเล่น ๆ ตามประสาคนสนุกคิด ว่า..คนมีอายุอย่างผมถ้าเป็นสินค้าก็คงเป็นสินค้าที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรืออยู่ตามตลาดนัดไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะตัวเลขอายุผมคงไม่ยอมให้ติดป้าย discount หรือ sale อย่างที่เค้าทำๆกัน  และเชื่อเหลือเกินว่าเค้าคงไม่ยอมให้ใครมาต่อราคา แบบในตลาดนัด ลดได้เท่าไหร่ลดอีกได้มั๊ย..คงไม่มีทางแน่..ผมคิดว่าสินค้ามีอายุอย่างผมคงต้องสินค้าประเภทของเก่าที่อยู่ตามแกลเลอรี่ ที่การตัดสินใจซื้ออยู่ที่ความพึงพอใจมากกว่าราคาที่ตั้งไว้ เห็นมั๊ยล่ะครับว่าของมีอายุมันเป็นสิ่งที่มีค่าเหมาะที่จะเป็นของสะสม อย่างยิ่ง
                 ด้วยเหตุผลนี้แหละ ที่ทุกครั้ง ก่อนที่ผมจะบอกว่าอายุผมเท่าไหร่ ผมต้องเกริ่นนำไปว่า...ถ้าพี่บอกไปแล้วห้ามกันต่อนะ เพราะพี่ไม่ได้บอกผ่าน  นี่ เป็นตัวเลขต้นทุนตั้งแต่เริ่มใช้มาตั้งแต่เกิดเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆ ที่ต้องบอกไปอย่างนั้นเพราะหลาย ๆ ครั้งที่บอกเรื่องอายุกับน้อง ๆ หลายคน พวกเค้าจะต้องมีคำถามกลับในความแปลกใจ บางคนถึงกับตกใจก็มี แล้วก็ต้องบอก “ไม่จริงบ้าง ไม่เชื่อ  โกหกอย่ามาอำ ทำไมดูไม่แก่เท่าไหร่” บางทีก็อยากบอกกลับไป ” เออ..น้องครับจริง ๆ แล้วพี่ก็ยังไม่แก่นะครับ พี่แค่คนมีอายุ” แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมากมาย เพราะจะเกิดการต่อเนื่องเรื่องคำถาม ....จะเป็นเช่นนี้อยู่ประจำ แต่เป็นที่น่าสังเกต มีจำนวนไม่น้อย น้อง ๆ ที่สงสัยเหล่านี้มักจะเป็นผู้หญิงเกือบทั้งนั้น..ด้วยเหตุนี้หรือเปล่า ผู้หญิง ส่วนมากจึงรับกันไม่ค่อยได้กับความจริงเรื่องอายุ เลยไม่ชอบให้ใครถาม เพราะไม่เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง  ฮาๆๆๆ เป็นอะไร ที่น่าคิดนะครับ ส่วนสาเหตุที่ทำให้น้องสงสัยและไม่ค่อยเชื่อกัน คงเป็นเพราะผมไม่เคยทำตัวแก่เท่าที่อายุผมมี ยังพอทำตัวเนียน ๆ เหมือนจะกลมกลืนกับพวกน้อง ๆ ได้บ้าง ก็เข้ามาอยู่เมืองตาหลิ่ว เราก็ต้องหลิ่วตาตามไม่ใช่หรือครับ อยากรู้จักวัยรุ่นเราก็หัดเรียนรู้ความเป็นวัยรุ่นให้เป็น คือผมมันคนง่าย ๆ เป็นให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างครับ..คริคริ
          ที่สุดแล้ว ผมเลยคิดหาทางออกกับการบอกความจริงเรื่องอายุของตัวเอง...ในเมื่อพวกน้อง ๆ เค้ารับความจริงเรื่ออายุเราไม่ได้ เราก็ต้องสร้างความจริงใหม่ให้น้อง ๆ เชื่อ..โดยมาประเมินความน่าจะเป็นของอายุตัวเองซะใหม่ให้ดูสอดคล้องกับความเป็นจริง..เพื่อจะได้ลดความสงสัยเรื่องนี้จากน้อง ๆ เพราะ ความสงสัยมันสามารถทำให้เกิดคำถามได้มากมาย และกับคำถามจำนวนมากที่ต้องตอบแบบเดิมทุกครั้งบางทีมันก็น่าเบื่อเหมือนกันนะครับ...ผมจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง...คือต้องหาทางคำนวณความน่าเชื่อเรื่องอายุ ของตัวเองเพื่อเอาไว้บอกกับน้อง ๆ  ให้ได้...ดูแล้วก็น่าสงสารความดูเด็กกว่าวัยของตัวเองเช่นกันครับ มันทำให้เราลำบากอยู่ไม่น้อย คริคริ


            ไวเท่าความคิด ผมเลยตั้งโจทย์คณิตคิดในใจทันที...เอาตัวเลขอายุจริง ตั้งบรรญัติไตรยางค์ บวกลบคูณหารกับเรื่องราวหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับตัวเอง โดยใช้สูตรแบบคิดแล้วสุข....คุณพระช่วย..ไม่น่าเชื่อ ตัวเลขประเมินความน่าจะเป็นเรื่องอายุผม ต่ำกว่าความเป็นจริงตั้ง 10 ปีพอดีเด๊ะ...โอ้โห..ไม่อยากเชื่อ .แต่ ผมเป็นคนรับความจริงได้ครับ คงไม่ทำอะไรเว่อร์ตามตัวเลขที่ประเมินออกมา...คิดแบบพอเพียงเจอกันครึ่งทาง...คือ 5 ปีพอ...จากนั้นมา พอใครถามเรื่องอายุผม ผมก็จะบอกอายุจริงทุกครั้ง แต่ตั้งไว้ในใจก่อนแล้วลบออกไป 5 ปี ...แล้วคำถามและความสงสัย แทบจะหายไปเกือบหมด เห็นมั๊ยล่ะครับครับอายุ นี่แค่ตัวเลขจริง ๆ  ที่ผ่านมา สาม สี่ ปี ให้หลังมานี่ผมก็บอกความจริงที่ที่ทดไว้ในใจบางส่วนเรื่องอายุกับทุกคนแบบนี้มาตลอด ...แต่ผมไม่ได้โกหกนะครับ เพราะผมก็เคยผ่านอายุช่วงนั้นมาแล้วจริง ๆ  18 ผมก็เคย 20 ก็ผ่านมาแล้ว 30 ก็เคยใช้มา 1 ปีเต็ม ๆ ชีวิตผมมันผ่านอะไรมาเยอะครับ ถ้าจะให้บอก เรื่องหน้าตา...ผมก็เคยเป็นคนหน้าตาดี เหมือนกันนะครับ...เป็นเล่นไปครับ ครั้งนึงสมัยยังเป็นวัยรุ่นผมเคยถูกเรียกไปแคสติ้งงานโฆษณางานเดียวกับ เจ มณฑล จิรา มาแล้วนะครับ...ขอบอก..แต่ก็ไม่ต้องถามต่อนะครับว่าใครจะได้...เพราะมันเป็นคำถามที่แม้แต่เด็กอนุบาลก็ตอบได้    ฮ่า ๆๆๆๆ

เก็บตกจากตะกอนที่ตกผลึกอยู่ในความคิด

              แรงโน้มถ่วงของโลกที่เรารู้สึก ก็อาจจะเกิดจาก แรงดึงดูดของ...ความรัก เพราะโลกของเรากำลังหมุนรอบตัวเธอ และคนที่มีความรักมักจะตื่นเช้าเสมอ แต่..คนที่ตื่นสายก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความรัก แต่อาจจะกำลังนอนอยู่กับคนรัก ก็เป็นไปได้


               เราไม่ได้เกิดมาเพื่อให้คนทุกคนมารัก..แต่..เราอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นที่ยอมรับของใครแค่บางคน..ไม่ต้องทำดีเพื่อให้ใครมารักเรา..แต่..จงเป็นตัวเราเพื่อใครคนนั้น ยอมรับเราให้ได้ก็พอ

               การที่เรารักใครสักคน...ก็เหมือนกับการที่เราได้มองไปที่...ดวงดาวสักดวง..คือ...เราจะไม่เห็นเค้าตลอดเวลา..แต่..เรายังรู้ว่าเค้า..จะอยู่ตรงนั้นเสมอ...ไม่ต้องเจอกันบ่อยๆ หรือต้องอยู่ด้วยตลอดเวลา...แต่ขอแค่ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้ายังรู้สึกดีและยังรักกันเหมือนเดิม



               ความรัก..มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ไม่ใช่ ทั้งหมดของชีวิตคู่ ชีวิตคู่ยังต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจอีกมากมาย เป็นตำราไม่มีหน้าสุดท้ายและเป็นตำราที่ต้องใช้ความเข้าใจมากว่าท่องจำ

               ความสุข...หากเราไม่จัดหา มาใส่ให้ตัวเอง..ก็อย่าได้หวังว่าจะมีใคร..เป็นธุระ จัดหามาให้..และ..ในเรื่องเดียวกัน..ขนาดของความสุข ของแต่ละคนก็ใหญ่ไม่เท่ากัน...อย่าที่ว่าใครจะเข้าใจและซึมซับเอาเอาสุขเป็นของตัวเองได้มากน้อยกว่ากัน.


             อดีต..ไม่ใช่กระจกที่สะท้อนภาพกลับมายังปัจจุบัน แต่อดีต มันเป็นภาพถ่ายในความทรงจำ ที่เราเก็บมันเอาไว้เพื่อเป็นประสบการณ์สอนใจตัวเองมากกว่า... เพราะอดีตกับปัจจุบันให้ภาพสะท้อนกันอย่างไร ก็ไม่มีทางเหมือนกันได้อย่างแน่นอน..เวลาเปลี่ยน ความคิดคนก็เปลี่ยน..ตามการเรียนรู้ที่เวลา เอามาฝากไว้ให้


            ปัญหา..ควรคิดแก้เมื่อมันเข้ามา..แต่อย่า..ไปคิดก่อนล่วงหน้าว่ามันจะต้องมี..หากมันมาแล้วยังหาทางแก้ไม่ได้..จงปล่อยมันไปก่อน ค่อยๆ คิดอย่าไปจมอยู่กับมัน ถ้าให้ดีหากระดาษมา 1 แผ่น แล้วเขียนข้อความตัวใหญ่ๆ ติดไว้ตรงที่มีปัญหาว่า.. "ความท้าทาย" ..แล้วมันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราอีกต่อไป




            "กล้าแล้วอย่ากลัว มั่นใจแล้วจงทำ..หากคิดจะเป็นนักรบอย่ากลัวการมีบาดแผล..เพราะบาดแผลจากศัตรูจะทำให้เรารับรู้ถึงความแข็งแกร่งของจิตใจตัวเอง"



            ‎" ในทุกธุรกิจการซื้อขาย..ทุกร้านค้า ทุกห้างร้าน..จะมีสินค้าอยู่ประเภทหนึ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดกว่าสินค้าทุกชนิดที่วางขายอยู่..แต่..ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มีวางขายอยู่ภายในร้าน..เป็นสินค้าที่ขายได้ตลอดไม่มีวันหมดจากร้าน เป็นสินค้าผู้ซื้อทุกคนอยากได้..แต่..มีเจ้าของธุรกิจไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้จักสินค้าประเภทนี้และสามารถนำมันออกมาขายได้...เราเรียกสินค้าชนิดนี้ว่า "ความพึงพอใจ" มันเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อทั่วโลกยอมจ่ายแพงและในบางครั้งมูลค่าของมันอาจจะประเมินค่าไม่ได้เลย..เพราะผู้ซื้อมักจะเป็นเป็นผู้กำหนดราคาสินค้าด้วยตัวเอง "...เจ้าของธุรกิจที่มี "หัวใจบริการ" เท่านั้นที่จะรู้จักสินค้าประเภทนี้ นี่คืออีกหนึ่ง..win win game in bussiness world

            " ในความอยากซื้อของลูกค้า..เราต้องตอบแทน ด้วยความประทับใจ..ไม่ใช่แค่..ทำให้จ่ายน้อยลง "...คำว่า Sale ต้องเป็นคำตอบสุดท้ายที่เจ้าของธุรกิจควรจะเลือก แต่..Sale มักจะเป็นจุดมุ่งหมายแรกในการตัดสินใจของลูกค้าเสมอ


            "ขอเพียงมีความฝัน...ฝันให้ไกล แล้วตั้งใจไปให้ถึง " จุดหมาย " ที่ปลายงทางฝัน จงมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ..อย่าอ่อนตามคำคนค้าน..อย่าสนใจใครจะมองเราผิด..อย่ายอมฉีกตัวเองเพื่อเปลี่ยนแนว..คนที่แน่แน่วเท่านั้น..ที่จะเป็นผู้ชนะ..และจะได้..เขียนประวัติศาสตร์..ให้กับตัวเอง"  
  

             ความฝัน..คือ..พลังงานเชิงบวกที่ทำให้เรามีแรงพลังในการใช้ชีวิตอย่างมีจุดหมาย







             "กว่าจะได้มาเป็นที่หนึ่งนั้น มันยาก...แต่..การรักษามันเอาไว้นี่สิ..มันยากยิ่งกว่า..จงอย่าไปใส่ใจใดใดกับ อันดับ..แค่..ได้พึงพอใจกับสถานะที่เราเป็นอยู่..แค่นี้ ก็สุขใจเกินพอ"..ที่หนึ่งในใจเรา..คือตัวเราเอง..เพราะหัวใจ  เราคงไม่ทรยศ..ยอมให้เราเป็นสองรองใคร  เอ๊ะๆๆ...หรือว่ามี..ใครที่กำลังโดนหัวใจตัวเอง..เล่นตลก


              คำคมคน..มันบาดเข้าไปในความคิด..แต่..คำพูดของคนไม่ค่อยคิด..มันมักไปบาดที่จิตใจ

              ผู้ชายดีดีคงเหลืออยุ่แต่ใน นิทาน แล้วหละมั๊ง...เพราะในนิยาย ผู้ชายดีดี..มักจะมีคู่แล้วหรือไม่ก็มารักกันตอนจบ...สุดท้ายผู้ชายดีดี..ก็ไม่มีเหลืออีกตามเคย..ก็หัดลองมองหา...ผู้ชายธรรมดาที่ทำดีเป็นและสามารถเลวได้ แต่ขอแค่เราพอรับเรื่องเลว ๆ ของเค้าไหวก็พอ ... คือ เลวให้พอเข้าใจได้ แต่อย่าถึงกับ..เลวได้ใจ ก็แล้วกัน



               เราไม่จำเป็นต้องคิดหรือคิดลบ อะไรหรอกค่ะ..แค่ควรคิดอะไรแล้วมีความสุขก็พอ และควรจะมองที่น่ามอง จำอะไรที่ควรจำจำ ดีกว่า..คนเราบางทีมันก็ควรคิดอะไรเข้าข้างตัวเองเอาไว้บ้าง..คิดอะไรก็ได้ ให้ตัวเองเป็นสุขกับความคิด....^_^..เพราะผมมันดันเกิดมา เป็นคนสุขนิยม..เข้าอย่างจัง


                มันจะเหงาได้สักเท่าไหร่กันเชียว..แต่..ก็ช่างมันเถอะเพราะเราก็ไม่ได้ เหงา อยู่ลำพังบนโลกใบนี้คนเดียวซะเมื่อไหร่..ยังมีเพื่อนร่วมเหงากับเราอยู่อีกตั้งครึ่งโลก..ก็เหงากันซะให้พอใจ เหงาเสร็จแล้ว จะขอออกไปใช้ชีวิตสักที...ทีนี้แหละ...จะใช้มันให้เต็มที่...กับไอ้สิ่งที่เรียกว่า.."ชีวิตของเรา

                ความเหงา...ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย เพียงแค่...มันมักจะมาในช่วงที่เราไม่พร้อมจะรับมือกับมันแค่นั้นเอง หากเราพร้อมรับเอาความเหงาเข้ามาในชีวิตได้ทุกที่ ทุกเวลา เราจะเข้าใจว่า ความเหงา...ก็คือเพื่อนชั้นดี ที่คอยเตือนเราว่า "ในเวลาที่เราไม่มีใคร เรายังมีตัวเองที่ควรเข้าใจและไม่มีใครที่รักเรา

                ถ้าการมึใครสักคนเข้ามาในชีวิต..แต่กลับไม่มีความสุข..ก็อย่ามีซะดีกว่า..ชีวิตเราเลือกทางเดินของเราเองได้...ถ้ามีแล้วก็ต้องมี..ความสุข
                ถ้าเราเชื่อว่า...หัวใจเราเป็นของดี...วันนึงจะมีคน เดินเข้ามา แล้ว หยิบความเหงาในใจเรา เอาออกไปทิ้งให้


              " เวลา..ไม่เคยช่วยอะไรใคร นอกจาก...เวลาทำให้สวิสเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงในเรื่อง...นาฬิกา" ... อย่าพยายามคิดกันเลยว่า..เวลาจะช่วยให้เราลืม...ไม่มีทาง...หากเรายังคงเอาเรื่องนั้นไปฝังอยู่ในจิตใจ..โปรด!!!อย่าเอาเวลามาเป็นข้ออ้างสำหรับการเปลี่ยนแปลงของคนกันอีกเลย...และหากมีวันใด...ที่เรารู้สึกว่าเหมือนเวลาหยุดเดิน..โปรดรู้ไว้เถอะว่า...นาฬิกาของคุณ...ตาย


               ความผิดอย่างมหันต์ที่สุดคือการยอมแพ้ตัวเอง แต่ ความรู้สึกที่ยำแย่ที่สุดคือการเอาชนะใจตัวเองไม่ได้


                ไม่ได้เป็นคนคิดมาก แต่เป็นคนคิดได้เรื่อยๆ ..คิดได้จะก็ดี ถ้าคิดให้ดีเราก็จะได้ คิดไปเถอะคิดยังไงก็ได้ ไม่เสียตังส์เพราะคงไม่มีใครเอาใบวางบิลมาเก็บตังส์ในสิ่งที่เราคิดแน่..แต่..คนที่มักจะเสียสตางค์อยู่เรื่อยๆ คือคนประเภทที่ทำอะไรไม่ค่อยจะคิด


                ความอิ่มเอมใจของการมีความรัก...มันอยู่ตรงที่ มีความสุขที่ได้รักและได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข แค่นี้ก็เป็นสุขใจ และจงอย่าสนใจในสิ่งที่เราจะได้รับ แต่ จงใส่ใจกับสิ่งที่เรากำลังจะให้ นี่แหละ.....ความรัก


                "หนึ่งนาทีที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขดีกว่าชั่วชีวิตที่อยู่ด้วยกันอย่างไม่เข้าใจ" สำหรับบางคนแค่เวลาเพียง 1 นาทีสามารถจดจำเรื่องดี ๆ ได้ชั่วชีวิต แต่กับบางคนใช้เวลาทั้งชีวิตหาเรื่อง ดี ๆ สัก 1 นาที มาคุยกันยังไม่ได้เลย .."โปรดจำไว้นาน ๆ กับความทรงจำที่แสนดี" สิ่งดีดีมักจะเข้ามาในชีวิตเรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าเราจะเปิดรับด้วยความจริงใจหรือว่าเราจะมองข้ามไป เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง


                 หากคิดจะเป็นนักรบก็จง..อย่ากลัวการมีบาดแผล ...หากคิดถึงความสำเร็จก็อย่ากลัวว่าจะต้องเจอกับความล้มเหลว ...ไม่เช่นนั้นแล้ว ความสำเร็จก็ไร้ค่าเพราะเราจะไม่มีความเข้มแข็ง...พอที่จะรักษามันเอาไว้ได้...ความรัก...ก็ด้วยหากคิดว่า..อยากมี..ความรัก..แต่กลับต้องมาหวาดระแวงกับคำว่า..อกหัก..ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับคำว่า...เสียใจ..เช่นนั้นแล้วเราก็ไม่อาจได้เจอกับ...ความรักที่ยิ่งใหญ่...ที่เป็นของเราได้เช่นกัน


                  คนเราคบกันได้ไม่ใช่เพราะการเป็นคนดี...แต่...ทุกคนจะคบได้นานหรือไม่ก็เพราะต่างยอมรับเรื่องไม่ดีของกันและกันได้มากน้อยขนาดไหนต่างหาก...ไม่ใช่คบกันได้เพราะรัก..แต่...คบกันได้เพราะ...ยอมรับ...ต่างหาก


                  ความดี ไม่จำเป็นต้องมีใบประกาศณียบัตร...แต่หาก...เป็นความเลว จะมีคนมาตัดสินให้เสมอ...ว่า เลวแค่ไหน และ...ความดี...ก็ไม่มีใครทำลายมันลงไปได้...เพียงแค่ มันมักจะถูกลืมมากกว่า...เพราะมีลิ่งอื่น ๆ มาทำให้ความดีในตัวเราโดนบดบัง...และส่วนมากมักจะมาจากคำว่า...กิเลส...ที่ทำให้สถานะของความดีในร่างกายเราอยู่เท่าเดิมเพราะเราไม่ได้ทำให้มันเพิ่มขึ้น...ก็เลยรู้สึกว่ามันหายไป จริงๆ แล้ว..ความดียังคงอยู่ในตัวเราเสมอ...


                    ชีวิตคู่..มันไม่ได้อยู่กันได้เพราะความรักซะทั้งหมด..แต่..มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ของการอยู่กันได้ เพราะเราต้องใช้คำว่า..ยอมรับและเข้าใจ..ควบคู่กัน ....ความรัก..ถ้าเป็นหนังสือมันก็เป็นแค่ บทนำ..ในตำราชีวิตคู่..ยังมีอีกหลายบทเรียนให้เราต้องศึกษาและเรียนรู้ต่อไป..ไม่มีบทสรุปให้และเป็นตำราที่ไม่มีหน้าสุดท้าย


                    การจะเริ่มต้นลงมือทำอะไร ไม่ได้เกิดจากความคิดหรือไอเดีย ที่ดีเสมอไป..เราควรรู้ตัวเองด้วยว่าเรามีความสามารถเพียงพอที่จะนำใอเดียนั้น ๆ มาทำประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ แค่นั้นยังไม่พอ เราต้องทำออกมาให้ได้ดีอีกด้วย หากเรารู้ตัวว่าความสามารถยังมีไม่พอ..ก็ควรหยุดมันไว้ก่อนแค่ที่ความคิด..เพราะอย่าให้ความคิดที่สวยงามโดนทำลายด้วยผลงานที่มันดูแย่...บทภาพยนตร์ที่ดี..ควรอยู่ในมือผู้กำกับที่เก่งด้วยเช่นเดียวกัน


                    ความสุข...ไม่เคยมีขายอยู่ ณ. ตลาดแห่งใดในโลกใบนี้...หากที่ไหนสามารถเปิดตลาดซื้อขายความสุขได้...เชื่อว่า เจ้าของตลาดคงรวยเละ... แต่..สาเหตุที่เรามีความสุขก็เพราะว่า...เราสามารถจัดระบบความคิดของตัวเองได้ดี...เอาความคิดไปวางอยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจ..ความสุข...หากเราไม่จัดหามาใส่ให้ตัวเอง..ก็อย่าได้หวังว่าจะมีใคร..เป็นธุระ จัดหามาให้...และ...."ในเรื่องเดียวกัน..ขนาดของความสุข ของแต่ละคนก็ใหญ่ไม่เท่ากัน...อยู่ที่ว่าใครจะเข้าใจและซึมซับเอาเอาสุขเป็นของตัวเองได้มากน้อยกว่ากัน


                    แรงโน้มถ่วงของโลกที่เรารู้สึก ก็อาจจะเกิดจาก แรงดึงดูดของ...ความรัก
  
  
                   ทุกคนมีความเจ้าชู้..อยู่ในตัวเองแต่ทุกคนมีความเข้าใจและการแสดงออกในความเจ้าชู้ไม่เหมือนกัน เพราะความเข้าใจที่แตกต่างผลที่แสดงออกมาย่อมแตกต่างออกไปเช่นกัน...แต่สิ่งสำคัญของคนเจ้าชู้ มันอยู่ที่...คนเจ้าชู้ก็มีหัวใจแค่ดวงเดียว...แล้วใครล่ะที่จะได้ ครอบครองหัวใจของคนเจ้าชู้...นี่แหละประเด็นหลักและเป็นเรื่องที่ท้าทาย ทำให้ใคร ๆ ก็อยากลอง ลงไปทดสอบและพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง


                      บางคน..คิดว่าตัวเองเป็น ของมีคม..แต่..พอได้เจอสิ่งที่คมกว่า..ก็รับไม่ได้ เกิดบันดาลโทสะในใจ..แสดงว่าเอาของมีคมที่ตัวเองมี เอามาทำร้ายตัวเอง...แต่...หากเราคิดว่า เราเป็นเพียงแค่ หินที่ลับความคม...จะไม่มีทางที่ความคมใดใด จะมาทำร้ายเราได้อีกเลย และเราก็จะมีความสุข ที่จะได้สัมผัสกับความคมแบบอื่น ๆ ตลอดไป


                      ความผิดพลาด คือ อดีต และ อดีต..ก็คือ บทเรียนสำหรับจดจำ ไม่ใช่เรื่อง...ที่ต้องเอามันไปฝังอยู่ในใจ
              อดีต..เป็นอีกสิ่งนึงที่ ที่จำเป็นต้องจัดสถานที่ ๆ เหมาะสมให้เค้าอยู่   บางอดีต..ควรอยู่ในความทรงจำ   ส่วนบางอดีต..ก็ควรอยู่ใน ส่วนลึกของจิตใจ  ต้องแยกแยะดีดี...อย่าให้เค้าเลือกที่อยู่กันเองมันไม่ดี เราต้องกักบริเวณให้เค้าอยู่อย่างเหมาะสม
              การใช้ชีวิตอยู่เพื่อรอคอยโอกาส..ก็เหมือนกับ...การเดินไปข้างหน้าด้วยวิธีการ ก้าวถอยหลังเดิน

ผมก็เป็นแบบผม เป็นอะไรแบบ ต๋า ต๋า คิดอะไรตามประสาคนอยู่สุข ที่ชอบใช้ชีวิตแบบสุขนิยม

...............กับความคิดของผม ที่บางคน คิดว่ามันดี บางที มันก็เกิดจากขออ้าง ใน การคิดเข้าข้างตัวเอง ให้มีความสุข ก็แค่นั้น...........


       ชายสุขนิยม...อย่างผมมันมี "ความสุข" เป็นที่ตั้งแล้วก็ทำอะไรตอบสนอง ความสุข ที่ตัวเองปรารถนา...มักจะไปในทุกที่ ที่เป็นสถานที่ๆ ตัวเองชอบ หรือ " ไปที่ชอบ ที่ชอบ " ผมจะบอกให้ตัวเองไปเสมอกับที่แห่งนั้น คือที่ไหน..เราชอบ เราก็ไป หากไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องไป  จะทำในสิ่งที่ตัวเอง..อยากทำ...เพราะการที่ได้ทำอะไรตอนที่อยาก มันมีความสุขที่สุด ก็ประมาณนี้กับความสุขนิยม อย่างที่ผมพึงกระทำ......และผมก็เป็นคนทำบุญไม่เลือกที่
      ทุกอย่างที่ทำลงไปก็คือการทำให้เพราะรัก...อย่ามองความรักในมุมที่แคบ  เปลี่ยนใหม่...เอาตัวเองไปอยู่มุมแคบมุมนั้น แล้วเราจะมองเห็นเรื่องของความรัก ในมุมที่กว้างขึ้น มันอาจจะเป็น ความสุขแบบแปลกๆ ของ ผู้ชายแบบต๋า ต๋า ที่พอจะหาได้เอง ....คือความสุขที่..."แค่มีแล้วรู้สึกว่าได้แบ่งปัน"...แค่นี้ ก็อิ่มใจในสุขของตัวเอง


         

         “ความสุข”เหมือนกับ”ชุดนอน” ไม่ใช่”ชุดทำงาน”หรือ”ชุดเที่ยว”เพราะเสื้อผ้าที่เราแต่งไปทำงานหรือไปเที่ยวบางทีก็ไม่สบายตัว คับติ้วจนต้องแขม่วพุงก็มี กระโปรงสั้นเต่อ กางเกงขาลีบ  ร้องเท้าส้นสูง และอีกสารพัดความทรมานที่ซ่อนอยู่ในความอยากสวย อยากเท่ห์เหล่านั้น เพราะเราให้ความสำคัญกับ  เรื่อง“ความสวย-ความหล่อ” เป็นหลัก  สายตาที่มองมาของคนอื่นจึงมีผลต่อความรู้สึกของเราแต่ ”ชุดนอน” ไม่ต้องครับ ย้วยเท่าไร เก่าแค่ไหน ก็ไม่ต้องสนใจไม่ต้องสนใจใคร ไม่ต้องการ"คำชม" ขอเพียงแค่รู้สึก”สบาย”เท่านั้นก็พอ ”ความสุข”เป็นเรื่องส่วนตัว ต้องมองจาก"ข้างใน" ไม่ใช่ "ข้างนอก" เราจะมี”ความสุข”ใจของเราก็ต้องสุขเอง ใครจะชม หรือจะสั่งให้เรามีความสุขไม่ได้ “ความสุข” ของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน  ความสุขใคร-ความสุขมัน เมื่อชุดนอนของแต่ละคน ยังมีขนาดหรือความเก่ายังไม่เท่ากัน “ความสุข” ก็เช่นกัน
.......คัดลอกบางส่วนจากบทความ “ชุดนอน..ของชีวิต”โดย หนุ่มเมืองจันท์  นักเขียนหนึ่งเดียวในดวงใจ......
            ผมคิดว่า..ความสุขจะมีมากหรือน้อย อยู่ที่ขนาดของการรับรู้และความเข้าใจของตัวเรามากกว่า  และความสุข หากเราไม่หามาใส่ให้ตัวเอง คงไม่มีใครเป็นธุระจัดหามาให้ หากหามาได้เราก็อาจจะไม่ถูกใจเพราะเราไม่ได้เลือกเอง...เหมือน เช่นชุดนอนเก่า ๆ ของเรา มันคือความสุขที่เรา ภูมิใจ มันเก่า ยืด ย้วย เพราะเราใช้มันทำให้เราสุขสบายอยู่เป็นประจำและจะเป็นความสุขที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานหากมันไม่หายหรือกลายร่างเป็นผ้าขี้ริ้วไปซะก่อน..^_^..
            อยากบอกว่า...หนุ่มเมืองจันท์ (พี่ตุ้ม) นักเขียนคนนี้...สำหรับผมเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณ ที่คอยสั่งสอนอบรมความคิดให้ผมได้เติมโตมาในแบบที่ใช้ความคิดแก้ไขมากกว่าใช้อารมณ์ตัดสิน เป็นคนสอนให้ผมคิดต่างไปเรื่อยและคิดแตกประเด็นต่อยอด จากสิ่งที่คนอื่นคิดเสมอ จนผมกลายเป็นคนสุขนิยมเพิ่มอีกหลายเท่าตัว ถ้าไม่นับรวมจาก ดีเอ็นเอ ที่ถ่ายมาจากพ่อโดยตรง  เพราะคิดอะไรก็เป็นสุข ได้เป็นคนอยู่สุข เพราะอยู่ตรงไหนก็หาความสุขใส่ตัวเองได้ และที่สำคัญผมได้ไปที่ชอบ ๆ ก่อนคนอื่น ๆ เสมอ
             และหนุ่มเมืองจันท์ (พี่ตุ้ม) คนนี้...เป็นผู้ชายคนที่ 2 สำหรับผม ที่ทำให้ เกิดแรงบันดาลใจ แล้วแถมยังเอามาให้ผมตั้ง 2 แรง คือแรงในการคิด และแรงในการเขียน(หรือพิมพ์แบบจิ้มดีด )เพราะตลอดเวลาเกือบๆ ยี่สิบปี ที่ได้ติดตามงานเขียน ของหนุ่มเมืองจันท์  ผมได้แง่คิดอะไรดีดี มาเยอะแยะมากมายและทุกครั้งที่มีปัญหาหรือมีเรื่องไม่สบายใจ เค้าคนนี้ คือที่ปรึกษาชั้นเยี่ยม แค่หยิบงานเขียนของเค้ามาสักเล่ม ปัญหาที่เราว่าหนักหนา จะรู้สึกว่าอ่อนเบา กว่าที่เราคิดไปอีกเยอะทีเดียว
             ผมจึงอยากจะขอมอบชื่อนี้ เป็น ฉายาเฉพาะสำหรับผม มอบให้ แด่....ผู้ชายคนนี้ ...“พี่ตุ้มหนุ่มสองแรง” วันที่ผมได้กลับมาเจอ หนุ่มเมืองจันท์ อีกครั้ง ใน เฟชบุ๊ค แห่งนี้ ผม รู้สึกดีใจเหมือนกับวัน ที่ผมได้พ่อมาเป็นเพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งสถานะ อย่างนั้นเลยจริง ๆ ...ถ้ารู้ว่ามันรู้สึกดีและมีความสุขขนาดนี้ ขอพ่อเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กแล้วจริง ๆ ไม่ปล่อยให้ตัวเองกลัวพ่อมาจนถึงโตแน่นอน เช่นกัน ถ้ารู้ว่า หนุ่มเมืองจันท์หันหน้าเข้ามาสู่ ร่มโพธิ์ ร่มโทร ของสังคมออนไลน์ ในเฟชบุ๊ค แห่งนี้ ก็คงจะหัดเล่นมาตั้งนานแล้วครับไม่ปล่อยให้ตัวเองตกเทรนด์อยู่ตั้งนาน..และของเค้าก็ ดีจริง ๆ ..ขอขอบคุณ มิสเตอร์ มาร์ก ซัก เกอร์ เบิร์ก ที่ทำให้โลกแคบลงจนผมได้กลับมาเจอและได้สื่อสารกับผู้ชายคนนี้อีกครั้ง...สวัสดีและขอขอบคุณอีกครั้งเช่นกันครับ พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ ที่มอบสิ่งดีดี ให้ผมเสมอมา..ขอบคุณจากใจจริง...น้องต๋า ครับผม



"อยู่อย่างคนสนุกคิด..ดีกว่า..ต้องใช้ชีวิตอย่างโลดโผน"  เข้าข้างมันเข้าไป อะไรที่เรียกว่า ตัวเอง

^_^
      จีบ คนโสดมีศัตรู..เป็นแสน     จีบ คนมีแฟนมีศัตรู..แค่หนึ่ง   แต่....อยากบอกว่า...ถ้ามาจีบชายคนนี้ไม่มีศัตรูเลย..แม้แต่คนเดียว แล้วยังมี คนรักเพิ่ม แถมให้อีกตั้งเยอะ^_^ คริคริ...และเรื่องนี้ต้องขอบอกกันเลยว่าว่า...จีบ คนๆ นี้คงไม่ได้ไปเป็นแฟนหรอกนะ...เพราะจีบไป เค้าก็ทำให้ได้แค่...เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับกับคุณ..แค่นั้นเอง

^_^
"เพื่อน"..........เหมือนน้ำ ไม่มีรสชาดแต่ขาดไม่ได้
"แฟน" ..........เหมือนข้าว บางครั้งไม่หิวแต่ก็ต้องกิน
"ชู้" .............เหมือนเหล้า รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ช๊อบชอบ
"กิ๊ก"............เหมือนน้ำหวาน นานๆ ทีก็หวานชื่นใจ แต่บ่อยไปก็เลี่ยน เอียน ขม
"แฟนเพื่อน"... เหมือนเหล้าเถื่อน ร้อนแรง แต่อันตราย..

แต่..... "ชายชื่อตั๊ดต๋า" .....อาจจะ ดูเหมือน อาหาร หน้าตาแปลก ๆ แต่หากได้ลิ้มลองหรือสัมผัสรสชาด ก็จะรู้สึกดี และแปรเปลี่ยนเป็น เป็นความสุขใจที่ไม่อาจหาได้จากชายอื่นใดในโลกนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆ

^_^
ชื่อ..นั้นสำคัญไฉน...เปล่าเลย.. มันหาได้มีความสำคัญใดใด..แค่..มันจำเป็นต้องมี..เพื่อเป็นสรรพนามแทนความเป็นตัวตน
ชื่อ..ไม่จำเป็นต้องมีความหมายอะไรลึกซึ้ง แต่..มันจำเป็นต้องมีคำจำกัดความเฉพาะชื่อของตัวเองและนี่คือ คำจำกัดความ..เป็นนิยามอย่างยาวแบบไม่ได้ย่อ..ของชายชื่อ ต๋า...คนสนุกคิด..ที่ชอบใช้ชีวิตแบบสุขนิยม..เพราะเป็นคนอยู่สุข..ขอบอกว่าผู้ชาย...คนนี้ชื่อ ต๋า
..ไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษแต่ปาก แค่...เป็นบุรุษที่สุภาพจากข้างใน
..ไม่ใช่คนน่ารัก แต่...เป็นคนที่ควรจะรัก
..ไม่ใช่คนน่ามอง แต่...ถ้าตั้งใจมองก็อาจจะรู้สึกดี
..ไม่ใช่คนดี แต่...ก็ไม่เคยคิดจะเป็นคนเลว
..ไม่ใช่คนอ่อนหวาน แต่...เป็นคนอ่อนโยน
..ไม่ใช่คนสนุกสนาน แต่...เป็นคนอารมณ์ดี
..ไม่ได้บอกมองโลกในแง่ดีหรือมองในแง่ร้ายแต่...ถ้ามองอะไรแล้วมีความสุขก็จะมอง..

ต๋า..อยู่ได้ในทุกๆที่..ที่มีแรงกดดันแต่..อยู่ยากและไม่อยากอยู่ถ้าอึดอัดใจในที่ตรงนั้นที่อยู่..และจะไม่ขออยู่เลยถ้าที่อยู่ตรงนั้น..ไม่ชอบ..เพราะต๋า..ชอบไป ที่ชอบ ที่ชอบ..เท่านั้น..โปรดเข้าใจ..ต๋า..ไว้จะเป็นการดี

My name is..Tatta.... I'm not Perfect BUT I am Limited Edition "
...รู้ตัวเองดี..ว่าไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ เพราะ..เป็นคนที่มีรูปแบบเฉพาะ แล้วก็ไม่ใช่ของแปลก แต่..น่าจะเป็นของหายาก..ที่มีมาเฉพาะแบบใ
นผู้ชายชื่อ..ต๋า..เท่านั้น..โปรด!! ตรองด้วยสติ อย่าด่วนคิดหรือตัดสินโดยที่ยังมีคำว่า..อ
คติ..ไปขวางไว้..หน้าลูกตาตัวเอง


               รู้..ว่าการดื่ม มันไม่ดี แต่ ณ เวลานี้ คงลำบากและคงยากที่จะแก้ไข ..เรื่องนี้คงต้องขอไว้เป็นทาน..เพราะเลือกเดินทางสายนี้ซะแล้ว ..รู้ว่ามันไม่ดี..แต่ก็ไม่เคยเอามันครอบงำตัวจนกลายเป็นคนที่ทำเรื่องไม่ดีหรือทำเป็นเรื่องร้ายๆ กับใครๆ..หากทำร้ายก็คงเป็นแค่ร่างกายของตัวเอง..แต่ก็ทำใจไว้แล้ว..ตั้งแต่รู้ตัวเองว่า..เป็นคนทำบุญไม่เลือกที่ และเข้าใจว่าต้องรับสิ่งที่จะเกิดในอนาคตให้ได้... ร่างกายเป็นของที่ยืมมาใช้..เพื่อตอบสนองการเติบโตของ..จิตใจในกายตน..ในเมื่อจิตอยากเป็นสุข..โดยที่ต้องยอมเสียอะไรบางในร่างกายบ้างโดยการเอาสุขภาพดีเป็นตัวประกันหรือไปแลกมา..เพราะในวันนึงร่างนี้ก็ต้องสละสังขารคืนกลับไป..วันนี้..ก็รู้ว่าการทำบุญให้จิตใจเป็นสุขเป็นการลดอายุขัยของตัวเอง..ก็ยอมครับ..แต่จะไม่ขอยอมให้จิตใจเราเป็นสุข..โดยการต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน..อย่างแน่นอน..ด้วยกุศลจิตโดยแท้....(อ่านแล้วดูดี..ที่แท้ก็..เข้าข้างมันเข้าไป..ตัวเอง) ก็สุขนิยม เค้าถ่ายกันมาทางสายเลือด....มันเป็นรหัสพันธุกรรมที่ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว..
                จิตใจที่แกร่งกล้า..สามารถเอาชนะสังขารที่อ่อนล้าได้เช่นกัน.. เคยเห็นมาแล้วครับ คนที่โดนจิตใจ..ตัวเองทำร้ายร่างกายซะจนย่ำแย่..เธอคนนี้ คือผู้หญิงคนที่ผมรักมากซะด้วย...จากคนที่เคยแข็งแรงเกินวัย..ระยะเวลาเพียงแค่10วัน สามารถทำให้ผู้หญิงคนนึงดูแก่ลงไปได้ถึง10ปี..อย่างไม่น่าเชื่อ..เธอโดนจิตใจตัวเองทำร้ายด้วย..โรคตรอมใจ..ก็จากชายสุขนิยมตัวพ่อนี่แหละครับ..ที่ชิงหนีไปที่ชอบ..แล้วทิ้งความผูกพันเอาไว้ให้อยู่เป็นเพื่อน..โดยไม่ได้บอกว่าจะต้องอยู่กับมันยังไง..ก็เลยทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่แบบไม่ทันตั้งตัว..เห็นมั๊ยว่า มันน่ากลัว..การที่โดนโดนจิตใจตัวเองทำร้ายร่างกาย...และผมก็ไม่อยากเป็นแบบที่แม่เป็นเลยครับ..และก็เคยเห็นเรื่องปาฏิหารย์ของจิตใจที่เอาชนะสังขารของร่างกายเช่นกัน...ใครจะไปเชื่อว่า น้ำต้มผักและสมุนไพร จะรักษาอาการคนที่เป้นมะเร็งระยะเกือบสุดท้ายได้...เพียงเพราะเค้าเชื่อว่า ยานี้ เป็นยาวิเศษ รักษาได้ทุกโรค..ในความเป็น จริงมันคือ กำลังใจที่เค้าให้กับตัวเองมากกว่าเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่..กำลังใจ เป็นเรื่อง มหัศจรรย์จริง ๆ


"สนุกกับความคิด...ก็เหมือนมีกระดาษซับความสุขอยู่ติดตัวตลอดเวลา"

^_^
            "ขอให้เจอคนใหม่ที่ดีกว่า” ที่บอกมาน่ะรู้บ้างมั๊ยว่า...มันหายาก ...ทั้งใหม่ ทั้งดี มันยังมีเหลืออยู่อีกหรือไง..ถ้ามีเค้าอยู่กันแถวไหน...ถ้าคิดว่าจะอวยพรกันแล้วก็ควรจะบอกด้วยเลยดีมั๊ย ว่าหาคนๆ นี้จากที่แห่งใดในโลกใบนี้....ให้คิดเองอยู่เรื่อยเลย...ขนาดนมตรามะลิ เค้ายังทำได้แค่...ใหม่ สด เสมอ

^_^

เพื่อนในทุ่งนาป่าคอนกรีตมอบบทกลอนนี้แด่เพื่อนห่างไกล..ผู้อาภัพ
พอคนโง่ ก็มาด่า ว่ามีเขา
อยากรู้จัง ควายอย่างเรา โง่ตรงไหน
มีแต่ทน ทำแต่งาน ลากไถไป
แล้วน้ำใจ ในบุญคุณ ไม่เห็นมี

ทุกวันนี้ คนจะรู้ บ้างหรือไม่
ว่าควายไทย เค้าก้าวไกล แค่ไหนหนา
ทั่วโลกออก สนธิบัตร เป็นสัญญา
ควายอย่างข้า คือควายไทย ใกล้สูญพันธุ์

อยากบอกคน ที่คิดตน ว่าฉลาด
อย่าปรามาส มองความควาย นั้นโง่เขลา
ไม่มีควาย ทนอย่างข้า คงต้องเอา

ควายอย่างคน ลากคันไถ ทำนาแทน


มีคนชอบพูดกันว่า......
"มึงมันโง่เหมือนควายให้คนอื่นมาเดินจูงจมูก" ผมอยากบอกแทนควายเหลือเกินว่า.....

"บางทีควายอย่างข้า ก็ไม่ได้โดนใครจูง ภาพที่เห็นมันเป็นเพียง...คนที่ถือเชือกเดินนำหน้าควายอย่างข้าแค่นั้นเอง...และ..ข้าก็ไม่ได้อยากเดินแซงหน้าคน..เพราะข้าไม่รู้ว่า..จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร"

 แล้วถ้าหากเป็นคนแล้วดี มีคุณค่าในตัวจริงจริง แล้วตัวอักษร ค ที่มีหยักด้านบนมันหายไปไหน...ทำไมไม่เอากลับมาใช้ คนอย่างคุณมาใช้ทำไมตัวอักษรของ...ค.ควาย

 ......ขอจงสุขสวัสดีแต่ควายไทย ที่ครอบครองสนธิสัญญา ไซเตส ทุกตัว.....


ด้วยจิตคาราวะ....จากเพื่อนในทุ่งนาป่าคอนกรีต

^_^
      มีความต่างคิด..เป็นสันดาน แล้วชอบเอาไปวางที่คนอื่น..จนเป็นนิสัย(เสีย) หากใครอยากด่าอยากว่า..ไม่เป็นไร เราน้อมรับทุกอย่าง..ด้วยเต็มใจและยินดี .... เพราะเรารู้ ความปรารถนาดีที่ปราศจากความต้องการเค้าเรียกว่าอะไร...(สระเอ..ส เสือ..สระ เอือ..อ อ่างและตัวสะกด) ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

^_^

        “คนไม่มีแฟน” ฟังเพลงนี้ที่ไร..รู้สึกอยาก "อกหักล่วงหน้า" ทุกที...รบกวนคนโสด..สักคนบนโลกใบนี้มาทำให้อกหักสักที..จักขอบพระคุณ ยังไงก็ขอแบบน่ารัก ๆ นะ..เค้าว่ากันว่า อกหัก จากคนน่ารัก จะรู้สึกดีกว่ากันเยอะ ฮ่าๆๆๆๆอย่างน้อย..การอกหัก..ก็ทำให้เราได้ผ่านอะไรมาตั้งเยอะ...ได้ชอบใครสักคน ได้คิดถึง ได้เป็นห่วงเป็นใย ได้ดูแล ได้ใส่ใจ ได้รัก และได้มี”ความรัก”เป็นของตัวเอง ... แต่พอ..อกหัก..ก็ได้มาแค่เสียใจ..อย่างเดียวเอง ชิว ๆ กันไป ไม่ซี...แถมก่อนที่จะอกหัก เรายังได้สถานะความเป็นคนเพิ่มมาอีกตั้งหลายอย่าง...ได้เป็นคนมีความรัก เป็นคนมีแฟน เป็นคนอกหัก แล้วก็กลับมาสู่สถานะปัจจุบัน...เป็นคนไม่มีแฟนเหมือนเดิม 555555 แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูกแล้ว คริคริ..^_^..อย่างนี้..ทำไม ไม่อยากอกหัก ดูสักที ดีกว่าอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปวันๆ คริคริ

     ทุกชีวิต...เกิดมาเพื่อให้มีช่องว่างของ(..........)ชีวิตเสมอ..เพื่อรอให้ใครสักคนมาเติมคำที่ถูกต้องลงในช่องว่าง...เมื่อช่องว่างได้เติมคำ ชีวิตก็ได้เติมเต็ม...แล้วเราก็เรียกความสมบูรณ์ของสิ่งนี้ว่า..."ชีวิตคู่"